จากบทความก่อนหน้านี้ที่พูดถึงเรื่อง การบุกอุตสาหกรรม Entertainment ของ AI ในวงการ Influencer อาชีพสุดฮิตของวัยรุ่นในยุคนี้ และเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) และ ML (Machine Learning) เข้ามามีอิทธิพลกับการใช้ชีวิตของเรามากขึ้น “Deepfake AI” ก็ถือเป็นอีกหนึ่งในเทคโนโลยีที่กำลังมาแรงและคนให้ความสนใจ
แล้ว Deepfake AI คือ?
มันคือการนำภาพใบหน้าของคนมาให้ AI ได้เรียนรู้ใบหน้าท่าทาง เสียง และโทนการพูดของบุคคลจากวิดีโอหรือรูปภาพตัวอย่างเพียงไม่กี่รูป และนำไปใส่เป็นคลิปวิดีโอให้พูด หรือแสดงท่าทางบางอย่างออกไป ก็สามารถแปลงให้คน ๆ นั้นพูดหรือทำท่าทางต่าง ๆ เหมือนเป็นอีกคนได้เลย
ต้นกำเนิดของเทคโนโลยี Deepfake
ย้อนกลับไปตอนปี 2017 ที่บุคคลนึงในเว็บไซต์ Reddit คล้ายกับเว็บพันทิปในเวอร์ชันภาษาอังกฤษ ใช้นามแฝงว่า Deepfake เขาใช้โปรแกรมบางอย่างสลับหน้านักแสดงดังระดับโลกหลายคนเข้ามาแทนที่ใบหน้าของดาราหนังโป๊เพื่อสร้างความสุนกสนานและความบันเทิง แต่หลังจากที่เขาตัดต่อภาพนิ่งเขาได้พัฒนาตัดต่อเป็นคลิปโป๊ได้แบบแนบเนียนมาก จนทำให้เกิดความเสียหาต่อนักแสดงคนนั้นซึ่งมาต่อก็มีคนอื่นเอาเทคโนโลยีนี้ไปพัฒนาต่อ
ยกตัวอย่างที่มีกระแสคลิปวิดีโอของคนดังในต่างประเทศ กลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ กรณีคลิปวิดีโอของนักแสดงชาย Miles Fisher มีหน้าตาคล้าย Tom Cruise เขาได้อัดคลิปวิดีโอขึ้นมาและเผยแพร่ในช่อง DeepTomCruise คอนเทนต์ของเขาคือการทำวิดีโอรูปแบบ DeepFake โดยสวมใบหน้าดาราดังอย่าง Tom Cruise แล้วมาทำกิจกรรมต่างๆ เช่น มาเป็นคนทำความสะอาด เป็นพนักงานล้างจาน ฯลฯ ซึ่ง Miles Fisher เคยให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ผ่านสื่อว่าเขาและเพื่อนทำวิดีโอนี้ขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
ส่วนกลุ่มสตาร์ทอัพ Deliberate AI เป็นผู้ที่ริเริ่มการนำเทคโนโลยี Deepfake มาใช้งานให้เป็นประโยชน์ เพื่อช่วยในการรักษาและบำบัดอาการทางจิตต่าง ๆ โดยเฉพาะในส่วนงานของ นักสุขภาพจิตหรือนักบำบัดจิต
ตัวอย่างผลกระทบจากเทคโนโลยี Deepfake ในปัจจุบัน
แต่หากมองอีกมุมนึงมีผู้ไม่ประสงค์ดีนำเอาเทคโนโลยีนี้ไปสร้างเป็น Fake News ปลอมแปลงคนสำคัญทั้งหน้าตาและเสียงพูด และมีการสื่อสารข้อมูลที่เป็นเท็จทเพื่อหวังผลสร้างความไม่เชื่อใจในตัวบุคคลสำคัญ เช่น ข่าวของประธานาธิบดีโอบามาซึ่งได้สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมากในโลกโซเชียล ที่เป็นคลิปเลียนแบบประธานาธิบดีโอบามาผ่านเทคโนโลยี Deepfake มาเผยแพร่บนยูทูปและภาพที่เห็นก็คือประธานาธิบดีโอบามากกำลังพูดและขยับปากพร้อมมีเสียง ซึ่งกำลังให้คำเตือนถึง ภัยจาก Deepfake ทั้งที่ตัวจริงของอดีตผู้นำสหรัฐฯ ไม่เคยพูดข้อความเหล่านี้ออกอากาศเลย แม้คลิปนั้นมีส่วนที่เป็นมุขตลก แต่หากว่า Deepfake ถูกใช้ในการสร้างสถานการณ์ลวง เช่น การประกาศข่าวเตือนภัย หรือ การกล่าวคำเหยียดเชื้อชาติสีผิว ผลของข่าวเท็จหรือ fake news ก็จะมีความร้ายแรงน่ากังวลยิ่งขึ้น
วิธีป้องกัน และ จับผิดคลิปที่สร้างจาก AI Deepfake
วิธีสังเกตและจับผิดคลิป Deepfake สามารถทำได้ ดังนี้
1. ตรวจสอบการเคลื่อนไหวของใบหน้าและดวงตา
- Deepfake มักมีปัญหากับการกระพริบตา (blink rate) ที่ไม่สมจริง
- การเคลื่อนไหวของปากและคิ้วอาจไม่สัมพันธ์กับเสียง
- การแสดงอารมณ์ที่ไม่สมดุล เช่น สีหน้าแข็ง
2. สังเกตความไม่สมบูรณ์ของภาพ
- ขอบใบหน้าอาจเบลอหรือผิดรูปเมื่อเคลื่อนไหวเร็ว
- เงา แสง และโทนสีผิวอาจไม่สมจริงเมื่อเทียบกับพื้นหลัง
- ฟัน ลิ้น หรือฟีเจอร์เล็ก ๆ ดูผิดปกติเมื่อหยุดเฟรม
3. วิเคราะห์เสียง (กรณีเสียงปลอม)
- เสียง Deepfake อาจฟังดูเรียบเกินไป ขาดจังหวะธรรมชาติ หรือเน้นเสียงบางพยางค์ผิดปกติ
- อาจไม่มีเสียงพื้นหลังหรือเสียงหายใจเหมือนเสียงจริง
4. ตรวจสอบ metadata ของไฟล์
- คลิปปลอมมักจะไม่มี metadata หรือมีการแก้ไขที่บ่งชี้ว่าไฟล์ถูกปรับแต่ง
5. ใช้เครื่องมือตรวจจับ Deepfake
- เครื่องมือ AI เช่น Microsoft Video Authenticator, Deepware Scanner, Hive Moderation หรือ Reality Defender ช่วยวิเคราะห์คลิปว่ามีโอกาสถูกสร้างด้วย Deepfake หรือไม่
- นอกจากนี้ เพื่อให้เกิดการใช้ Deepfake อย่างถูกต้องและสร้างสรรค์ ควรสนับสนุนมาตรการและกฎหมายที่จะจัดการกับการใช้ Deepfake โดยมิชอบ เพื่อให้มีบทลงโทษที่ชัดเจนและยับยั้งผู้ไม่หวังดี
แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต กับ AI Deepfake
แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต กับ AI Deepfake ได้แก่
- Deepfake จะมีคุณภาพสูงขึ้น เนื่องจากอัลกอริธึมการเรียนรู้ของ AI จะสามารถสร้างสื่อปลอมที่เหมือนจริงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญยังยากที่จะตรวจจับได้โดยไม่ใช้เครื่องมือพิเศษ
- การใช้ Deepfake เชิงบวกจะขยายตัว ไม่ว่าจะธุรกิจสื่อ, การแพทย์ (เช่นการสื่อสารกับผู้ป่วยโดยใช้ใบหน้าเสมือนของญาติ), การศึกษา และการจำลองสถานการณ์จะใช้ Deepfake เพื่อเสริมประสบการณ์และลดต้นทุน
- การพัฒนาเครื่องมือตรวจจับ Deepfake จะมีการพัฒนา AI ตรวจจับที่สามารถวิเคราะห์ metadata, จังหวะกระพริบตา, micro-expression และเสียง เพื่อบอกได้ว่าเป็นสื่อปลอมหรือไม่
- การออกกฎหมายควบคุมการใช้ Deepfake หลายประเทศเริ่มตื่นตัว และมีแนวโน้มว่าจะมีกฎหมายควบคุมการสร้างและเผยแพร่ Deepfake โดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงการกำหนดโทษทางอาญาอย่างชัดเจน
- Deepfake อาจกลายเป็นอาวุธสงครามข้อมูล ในยุคของสงครามไซเบอร์ Deepfake อาจถูกใช้เพื่อทำลายความเชื่อมั่นในสถาบัน หรือสร้างความแตกแยกในสังคมผ่านการบิดเบือนคลิปของนักการเมือง หรือเหตุการณ์สำคัญ
สรุป
จากที่กล่าวไปข้างต้นเทคโนโลยี Deepfake นั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสียแต่ถ้านำไปใช้ในทางที่ไม่ดีก็จะเกิดผลเสียต่อผู้อื่นซึ่งการรับมือกับ Deepfake อาจจะตรวจสอบด้วยตาเปล่าไม่ไหว ก็ต้องมีเทคโนโลยีหรือซอฟต์แวร์เข้ามาช่วยอย่างน้อยๆ ก็สามารถช่วยฟิลเตอร์ได้ในระดับหนึ่งว่าคอนเทนต์แบบไหนเป็น Fake news และก่อนจะลงหรือแชร์ข้อมูลต่างๆเราต้องตรวจสอบแหล่งข่าวนั้นว่ามีความน่าเชื่อถือหรือไม่พราะสิ่งเหล่านั้นอาจเป็นข้อมูลที่ผิดพลาดได้
อ้างอิง
Kinza Yasar & Nick Barney. (2024). What is deepfake technology?. techtarget. https://www.techtarget.com/whatis/definition/deepfake
Sally Adee. (2020). What Are Deepfakes and How Are They Created?. spectrum. https://spectrum.ieee.org/what-is-deepfake
Laura Fitzgerald. (2025). Deepfake Trends to Look Out for in 2025. pindrop. https://www.pindrop.com/article/deepfake-trends/
0 Comment