×

START A PROJECT

We are here to build a high-quality extension for brands to serve your consumers.

    By Noon Saranya - 26 November 2021

    Deepfake AI คืออะไร? เทคโนโลยีที่เป็นดาบสองคม

    จากบทความก่อนหน้านี้ที่พูดถึงเรื่อง การบุกอุตสาหกรรม Entertainment ของ AI ในวงการ Influencer อาชีพสุดฮิตของวัยรุ่นในยุคนี้ และเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) และ ML (Machine Learning) เข้ามามีอิทธิพลกับการใช้ชีวิตของเรามากขึ้น “Deepfake AI” ก็ถือเป็นอีกหนึ่งในเทคโนโลยีที่กำลังมาแรงและคนให้ความสนใจ

    แล้ว Deepfake AI คือ?

    มันคือการนำภาพใบหน้าของคนมาให้ AI ได้เรียนรู้ใบหน้าท่าทาง เสียง และโทนการพูดของบุคคลจากวิดีโอหรือรูปภาพตัวอย่างเพียงไม่กี่รูป และนำไปใส่เป็นคลิปวิดีโอให้พูด หรือแสดงท่าทางบางอย่างออกไป ก็สามารถแปลงให้คน ๆ นั้นพูดหรือทำท่าทางต่าง ๆ เหมือนเป็นอีกคนได้เลย

    ต้นกำเนิดของเทคโนโลยี Deepfake

    ย้อนกลับไปตอนปี 2017 ที่บุคคลนึงในเว็บไซต์ Reddit คล้ายกับเว็บพันทิปในเวอร์ชันภาษาอังกฤษ ใช้นามแฝงว่า Deepfake เขาใช้โปรแกรมบางอย่างสลับหน้านักแสดงดังระดับโลกหลายคนเข้ามาแทนที่ใบหน้าของดาราหนังโป๊เพื่อสร้างความสุนกสนานและความบันเทิง แต่หลังจากที่เขาตัดต่อภาพนิ่งเขาได้พัฒนาตัดต่อเป็นคลิปโป๊ได้แบบแนบเนียนมาก จนทำให้เกิดความเสียหาต่อนักแสดงคนนั้นซึ่งมาต่อก็มีคนอื่นเอาเทคโนโลยีนี้ไปพัฒนาต่อ

    ยกตัวอย่างที่มีกระแสคลิปวิดีโอของคนดังในต่างประเทศ กลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ กรณีคลิปวิดีโอของนักแสดงชาย Miles Fisher มีหน้าตาคล้าย Tom Cruise เขาได้อัดคลิปวิดีโอขึ้นมาและเผยแพร่ในช่อง DeepTomCruise คอนเทนต์ของเขาคือการทำวิดีโอรูปแบบ DeepFake โดยสวมใบหน้าดาราดังอย่าง Tom Cruise แล้วมาทำกิจกรรมต่างๆ เช่น มาเป็นคนทำความสะอาด เป็นพนักงานล้างจาน ฯลฯ ซึ่ง Miles Fisher เคยให้สัมภาษณ์​เรื่องนี้ผ่านสื่อว่าเขาและเพื่อนทำวิดีโอนี้ขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น

    ส่วนกลุ่มสตาร์ทอัพ Deliberate AI เป็นผู้ที่ริเริ่มการนำเทคโนโลยี Deepfake มาใช้งานให้เป็นประโยชน์ เพื่อช่วยในการรักษาและบำบัดอาการทางจิตต่าง ๆ โดยเฉพาะในส่วนงานของ นักสุขภาพจิตหรือนักบำบัดจิต 

    ภาพJ ordan Peele use AI to make Barack Obama จาก https://ars.electronica.art/center/en/obama-deep-fake/ 

    ตัวอย่างผลกระทบจากเทคโนโลยี Deepfake ในปัจจุบัน 

    แต่หากมองอีกมุมนึงมีผู้ไม่ประสงค์ดีนำเอาเทคโนโลยีนี้ไปสร้างเป็น Fake News ปลอมแปลงคนสำคัญทั้งหน้าตาและเสียงพูด และมีการสื่อสารข้อมูลที่เป็นเท็จทเพื่อหวังผลสร้างความไม่เชื่อใจในตัวบุคคลสำคัญ เช่น ข่าวของประธานาธิบดีโอบามาซึ่งได้สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมากในโลกโซเชียล ที่เป็นคลิปเลียนแบบประธานาธิบดีโอบามาผ่านเทคโนโลยี Deepfake มาเผยแพร่บนยูทูปและภาพที่เห็นก็คือประธานาธิบดีโอบามากกำลังพูดและขยับปากพร้อมมีเสียง ซึ่งกำลังให้คำเตือนถึง ภัยจาก Deepfake ทั้งที่ตัวจริงของอดีตผู้นำสหรัฐฯ ไม่เคยพูดข้อความเหล่านี้ออกอากาศเลย แม้คลิปนั้นมีส่วนที่เป็นมุขตลก แต่หากว่า Deepfake ถูกใช้ในการสร้างสถานการณ์ลวง เช่น การประกาศข่าวเตือนภัย หรือ การกล่าวคำเหยียดเชื้อชาติสีผิว ผลของข่าวเท็จหรือ fake news ก็จะมีความร้ายแรงน่ากังวลยิ่งขึ้น

    วิธีป้องกัน และ จับผิดคลิปที่สร้างจาก AI Deepfake

    วิธีสังเกตและจับผิดคลิป Deepfake สามารถทำได้ ดังนี้

    1. ตรวจสอบการเคลื่อนไหวของใบหน้าและดวงตา

    Deepfake มักมีปัญหากับการกระพริบตา (blink rate) ที่ไม่สมจริง

    การเคลื่อนไหวของปากและคิ้วอาจไม่สัมพันธ์กับเสียง

    การแสดงอารมณ์ที่ไม่สมดุล เช่น สีหน้าแข็ง

    2. สังเกตความไม่สมบูรณ์ของภาพ

    ขอบใบหน้าอาจเบลอหรือผิดรูปเมื่อเคลื่อนไหวเร็ว

    เงา แสง และโทนสีผิวอาจไม่สมจริงเมื่อเทียบกับพื้นหลัง

    - ฟัน ลิ้น หรือฟีเจอร์เล็ก ๆ ดูผิดปกติเมื่อหยุดเฟรม

    3. วิเคราะห์เสียง (กรณีเสียงปลอม)

    เสียง Deepfake อาจฟังดูเรียบเกินไป ขาดจังหวะธรรมชาติ หรือเน้นเสียงบางพยางค์ผิดปกติ

    อาจไม่มีเสียงพื้นหลังหรือเสียงหายใจเหมือนเสียงจริง

    4. ตรวจสอบ metadata ของไฟล์

    คลิปปลอมมักจะไม่มี metadata หรือมีการแก้ไขที่บ่งชี้ว่าไฟล์ถูกปรับแต่ง

    5. ใช้เครื่องมือตรวจจับ Deepfake

    เครื่องมือ AI เช่น Microsoft Video Authenticator, Deepware Scanner, Hive Moderation หรือ Reality Defender ช่วยวิเคราะห์คลิปว่ามีโอกาสถูกสร้างด้วย Deepfake หรือไม่

    นอกจากนี้ เพื่อให้เกิดการใช้ Deepfake อย่างถูกต้องและสร้างสรรค์ ควรสนับสนุนมาตรการและกฎหมายที่จะจัดการกับการใช้ Deepfake โดยมิชอบ เพื่อให้มีบทลงโทษที่ชัดเจนและยับยั้งผู้ไม่หวังดี

    แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต กับ AI Deepfake

    แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต กับ AI Deepfake ได้แก่

    Deepfake จะมีคุณภาพสูงขึ้น เนื่องจากอัลกอริธึมการเรียนรู้ของ AI จะสามารถสร้างสื่อปลอมที่เหมือนจริงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญยังยากที่จะตรวจจับได้โดยไม่ใช้เครื่องมือพิเศษ

    การใช้ Deepfake เชิงบวกจะขยายตัว ไม่ว่าจะธุรกิจสื่อ, การแพทย์ (เช่นการสื่อสารกับผู้ป่วยโดยใช้ใบหน้าเสมือนของญาติ), การศึกษา และการจำลองสถานการณ์จะใช้ Deepfake เพื่อเสริมประสบการณ์และลดต้นทุน

    การพัฒนาเครื่องมือตรวจจับ Deepfake จะมีการพัฒนา AI ตรวจจับที่สามารถวิเคราะห์ metadata, จังหวะกระพริบตา, micro-expression และเสียง เพื่อบอกได้ว่าเป็นสื่อปลอมหรือไม่

    การออกกฎหมายควบคุมการใช้ Deepfake หลายประเทศเริ่มตื่นตัว และมีแนวโน้มว่าจะมีกฎหมายควบคุมการสร้างและเผยแพร่ Deepfake โดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงการกำหนดโทษทางอาญาอย่างชัดเจน

    Deepfake อาจกลายเป็นอาวุธสงครามข้อมูล ในยุคของสงครามไซเบอร์ Deepfake อาจถูกใช้เพื่อทำลายความเชื่อมั่นในสถาบัน หรือสร้างความแตกแยกในสังคมผ่านการบิดเบือนคลิปของนักการเมือง หรือเหตุการณ์สำคัญ

    สรุป

    จากที่กล่าวไปข้างต้นเทคโนโลยี Deepfake นั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสียแต่ถ้านำไปใช้ในทางที่ไม่ดีก็จะเกิดผลเสียต่อผู้อื่นซึ่งการรับมือกับ Deepfake อาจจะตรวจสอบด้วยตาเปล่าไม่ไหว ก็ต้องมีเทคโนโลยีหรือซอฟต์แวร์เข้ามาช่วยอย่างน้อยๆ ก็สามารถช่วยฟิลเตอร์ได้ในระดับหนึ่งว่าคอนเทนต์แบบไหนเป็น Fake news และก่อนจะลงหรือแชร์ข้อมูลต่างๆเราต้องตรวจสอบแหล่งข่าวนั้นว่ามีความน่าเชื่อถือหรือไม่พราะสิ่งเหล่านั้นอาจเป็นข้อมูลที่ผิดพลาดได้

    อ้างอิง

    Kinza Yasar & Nick Barney. (2024). What is deepfake technology?. techtarget. https://www.techtarget.com/whatis/definition/deepfake

    Sally Adee. (2020). What Are Deepfakes and How Are They Created?. spectrum. https://spectrum.ieee.org/what-is-deepfake

    Laura Fitzgerald. (2025). Deepfake Trends to Look Out for in 2025. pindrop. https://www.pindrop.com/article/deepfake-trends/ 

    0 Comment