WALL·E : บทบาทหน้าที่ ความรัก ชีวิตของหุ่นยนต์ AI จากเศษซากอารยธรรมมนุษย์ในโลกดิสโทเปีย

หากพูดถึงภาพยนตร์ชีวลักษณ์หรือแอนิเมชัน (Animation) เกี่ยวกับหุ่นยนต์หรือปัญญาประดิษฐ์ต่าง ๆ เรื่องแรก ๆ ที่หลายคนต้องนึกถึงอย่างแน่นอนนั่นก็คือ WALL·E หรือในชื่อภาษาไทยคือ วอลล์·อี หุ่นจิ๋วหัวใจเกินร้อย ที่ออกฉายให้ผู้คนทั่วโลกได้รับชมกันในปี 2008 โดยเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันลำดับที่ 9 จาก Walt Disney Pictures และ Pixar Animation Studios และยังเป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มากที่สุดถึง 6 รางวัล ซึ่งสามารถชนะรางวัลสาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยมในปีนั้นมาได้

หลังจากที่มนุษย์ปล่อยโลกให้ทิ้งร้างไปด้วยขยะเป็นเวลา 700 ปี WALL·E หุ่นยนต์กำจัดขยะ มาจากชื่อเต็มคือ Waste Allocation Load Lifter – Earth-Class ก็ยังคงทำหน้าที่เก็บขยะอยู่บนโลก โดยมีแมลงสาบเป็นเพื่อนคู่ใจ ในภาพยนตร์ได้นำเสนอมุมมองของโลกในแบบดิสโทเปีย ในยุคที่โลกร้างไร้ผู้คน เต็มไปด้วยขยะมหาศาล เหลือเพียงซากเศษสถาปัตยกรรมอัปลักษณ์ที่มนุษย์ยุคก่อนหน้านี้ได้ทิ้งเอาไว้ให้ดูต่างหน้า แต่ไร้เศษซากสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์บนโลกนี้แล้ว เหลือเพียงสิ่งมีชีวิตเดียวที่ยังคงความมีชีวิตบนโลกอันสกปรกนี้นั่นคือแมลงสาบนั่นเอง 

WALL·E หุ่นยนต์กำจัดขยะตัวสุดท้ายที่ยังคงยังทำภาระกิจอยู่บนโลกก็ได้พบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ จากการปรารฏขึ้นของลำแสงสีแดงที่นำพา WALL·E ให้ไปพบกับการลงจอดของยานลำหนึ่งที่ได้ปล่อยหุ่นยนต์สุดล้ำอีกหนึ่งตัวให้มาทำภาระกิจเพื่อค้นหาสิ่งมีชิตบนโลก นั่นก็คือหุ่นยนต์ที่มีชื่อว่า EVE นั่นเอง หลังจากการพบกันของ WALL·E และ EVE ก็เกิดหลายสิ่งหลายอย่างขึ้น WALL·E ได้พา EVE เข้าไปนี้พื้นที่ของตนเอง จนเข้าไปพบกับสิ่งมีชีวิตหนึ่งอย่างที่ทำให้ EVE ค้นพบความสำเร็จของภาระกิจตนเอง ก่อนที่จะ Shutdown ตัวเองและรอคอยการมารับกลับอวกาศของยานลำเดิม 

จากการพบเจอและร่วมใช้ชีวิตในโลกอันอัปลักษณ์ด้วยกันในเวลาไม่นานก็ทำให้ WALL·E ตกหลุมรัก EVE เต็มประดา จนนำไปสู่การอยากรู้อยากเห็นว่าแท้ที่จริงแล้ว EVE มาจากที่ไหน และลงมาบนโลกนี้เพื่ออะไร เก็บกักเอาต้นไม้ของ WALL·E ไปทำอะไร และทำไมต้อง Shutdown ตัวเองไปเฉย ๆ ด้วย กระทั่งวันที่ยานลำเดิมมาเก็บเอาตัว EVE ไป WALL·E ก็ได้ทำสิ่งที่บ้าขั้นเต็มกำลังนั่นก็คือการแอบติดยานลำนั้นไปด้วย จนทุกอย่างนำไปสู่ความโกลาหล การทำภาระกิจ และการค้นพบโลกให้บนยานที่มีชื่อว่า ‘Axiom’ 

บนยานที่มีชื่อว่า ‘Axiom’ นั้นมีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘มนุษย์’ แต่เป็นมนุษย์ที่แทบจะไร้ความเป็นมนุษย์อย่างทุกวันนี้เพราะได้รับความสะดวกสบายจนไม่ต้องขยับตัวแต่อย่างใด สามารถนั่งอยู่บนเก้าอี้บังคับที่แทบจะใช้ระบบอัตโนมัติในการเดินทางบนยานนี้ทั้งหมด มีการสนทนาผ่านหน้าจออย่างเดียวโดยไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวสักนิด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบนยานนี้มีอะไรบ้าง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอวกาศนั้นงดงามขนาดไหน และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโลกใบเดิมที่เคยอยู่เป็นอย่างไร วัฒนธรรม และสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่เคยอยู่บนโลกเมื่อนานมาแล้วนั้นเป็นอย่างไร 

และแล้วภารกิจทุกอย่างก็ถูกเฉลยว่า บนยานที่มีชื่อว่า ‘Axiom’ นั้นมีการทำภารกิจเพื่อส่งหุ่นยนต์อย่าง EVE นั้นลงไปสำรวจโลกอยู่เรื่อย ๆ เพื่อสำรวจสิ่งมีชีวิตว่าโลกสามารถจะสามารถเอื้ออต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ได้หรือไม่ กระทั่ง EVE ได้ค้นพบกับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าต้นอ่อนของต้นไม้ ที่ WALL·E ได้เก็บเอาไว้ก็จะนำกลับยานไปเพื่อบอกกับกัปตันว่าบนโลกตอนนี้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้แล้ว 

แต่กลายเป็นว่าทุกอย่างไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเมื่อมีหุ่นยนต์มากมายกลายเป็น “ปัญญาประดิษฐ์” ที่พัฒนาความคิดตัวเองจนกลายเป็นกบฏบนยาน Axiom ซึ่งไม่อยากกลับลงไปบนโลกเหมือนเดิม และพยายามขัดขวางการลงจอดบนโลกของยานอย่างถึงที่สุด ทำให้ทั้ง EVE และ WALL·E ต่างต้องร่วมกันกับหุ่นยนต์อีกมากมายเพื่อทำภาระกิจนี้ให้สำเร็จเพื่อได้ที่จะได้พามนุษย์คนอื่น ๆ ที่อยู่บนยานนี้กลับลงมาใช้ชีวิตบนโลกเดิมที่เคยถูกทิ้งร้างเอาไว้กว่า 700 ปีมาแล้ว

"
I don’t want to survive.
I want to live
"

ภาพยนต์เรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวการพัฒนาตนเองของ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ ที่พัฒนาจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่ง ๆ ที่มีความรู้สึกนึกคิด ความรู้ผิดชอบชั่วดี การรู้หนทางเอาตัวรอด ทำให้เกิดเรื่องราวต่าง ๆ มากมายในเรื่อง WALL·E นี้ขึ้นมา การต่อสู้เพื่ออยากมีชีวิตอยู่ต่อบนยานลำเดิมนี้ เกิดการต่อสู้เพื่อการอยากดำรงชีวิตอีกครั้งบนโลกใบใหม่ใบเดิมของทั้งหุ่นยนต์และมนุษย์ ที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนาของจิตวิญญาณจนเกิดความรู้สึกรักของ WALL·E และ EVE ซึ่งความรักต่อหุ่นยนต์สองตัวนี้ เป็นต้นตอที่ทำให้เกิดเรื่องราวต่าง ๆ มากมายในในภาพยนตร์เรื่องนี้ จนนำไปสู่การได้ใช้ชีวิตเฉกเช่นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง เหมือนที่ประโยคที่กัปตันประจำยานได้กล่าวเอาไว้ “ I don’t want to survive. I want to live “