×

START A PROJECT

We are here to build a high-quality extension for brands to serve your consumers.

    By HOCCO - 05 กุมภาพันธ์ 2025

    Machine Learning คืออะไร ทำอะไรได้บ้าง และแตกต่างจาก AI ยังไง?

    ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญให้การทำงาน หลายบริษัทเริ่มมีการนำ Machine Learning และ AI เข้ามาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มคุณภาพของาน ลดต้นทุน ลดเวลาการทำงาน เพิ่มความแม่นยำในกระบวนการต่าง ๆ รวมไปถึงการนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อเพิ่มขีดจำกัด ทำให้เทคโนโลยีสามารถทำงานแทนมนุษย์ได้ แล้วคุณเคยตั้งคำถามเหล่านี้ไหม ว่าทำไม Facebook หรือ Google ถึงรู้ว่าเรากำลังสนใจสินค้าชนิดไหน ทำไม Youtube ถึงรู้ว่าเราอยากฟังเพลงอะไร ? ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ได้จากการนำ Machine Learning มาประยุกต์ใช้ในการทำงานนั้นเองครับ

    บทความนี้ผมจะพาทุกคนไปเจาะลึกทุกอย่างเกี่ยวกับ Machine Learning คืออะไร ทำอะไรได้บ้าง มีประโยชน์อย่างไรในแง่ธุรกิจและองค์กร รวมไปถึงไขข้อสงสัยของหลาย ๆ คน ว่า Machine Learning กับ AI แตกต่างกันอย่างไร ถ้าพร้อมแล้วไปหาคำตอบพร้อม ๆ กันในบทความนี้เลย!

    Machine Learning คือ

    แน่นอนว่าหลายคนอาจจะยังไม่ทราบ ว่าจริง ๆ แล้ว Machine Learning หมายถึงอะไร ? วันนี้ผมจะมาเฉลยให้ทุกคนเองครับ

    Machine Learning คือ ระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถประมวลผล เรียนรู้ และตัดสินใจจากชุดข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้รับ เป็นการเรียนรู้รูปแบบอัตโนมัติผ่านชุดข้อมูลและประสบการณ์ด้วยตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องมนุษย์คอยกำกับหรือป้อนข้อมูลให้ตลอด ซึ่งปกติแล้ว Machine Learning จะสามารถตัดสินใจในครั้งต่อ ๆ ไปได้ดีขึ้น ด้วยการเรียนรู้ชุดข้อมูลที่มีอยู่ซ้ำ ๆ ซึ่งกระบวนการนี้เรียกว่า “การเทรนด์ AI” นั่นเอง

    ประเภทของ Machine Learning

    เมื่อเข้าใจแล้วว่า Machine Learning คืออะไร เรามาลองทำความรู้จักกับประเภทของ Machine Learning กันดีกว่าครับ ในปัจจุบันเราสามารถแบ่งประเภทของ Machine Learning ออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่

    1. Unsupervised Learning คือ ระบบเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีผู้สอน ไม่จำเป็นต้องตั้งค่าเป้าหมาของแต่ละชุดข้อมูล โดยระบบจะทำการเรียนรู้และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยตัวเอง มักนำไปใช้กับการแนะนำผลิตภัณฑ์ หรือ การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสินค้าในตลาด

    2. Supervised Learning คือ ระบบเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ โดยต้องมีผู้สอน และต้องใช้ข้อมูลในการฝึกฝน เพื่อให้ระบบสามารถวิเคราะห์และคาดการณ์ผลที่แม่นยำ ส่วนใหญ่มักใช้กับการคำนวณราคาอสังหารมทรัพย์

    3. Reinforcement Learning คือ ระบบจะเรียนรู้จากข้อผิดพลาด การลองผิดลองถูกจากประสบการณ์จริงในอดีตหรือระบบจำลอง เพื่อพัฒนาระบบการตัดสินใจที่แม่นยำ มักใช้กับอุตสาหกรรมเกม หรือ หุ่นยนต์

    ประโยชน์ของ Machine Learning ที่มีต่อธุรกิจและองค์กร 

    การนำ Machine Learning มาประยุกต์ใช้ในการทำงานมีประโยชน์มากมายหลากประการ ดังนี้

    1. Machine Learning คือ ระบบที่ช่วยให้การตัดสินใจแม่นยำและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

    2. สามารถช่วยสร้างประสบการณ์ (Customer Experience) ที่ดีให้กับลูกค้า เช่น การแนะนำผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ตรงกับความต้องการ

    3. ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความเร็วในการดำเนินงานด้วยระบบอัตโนมัติ เช่น Chatbots ตอบแชทลูกค้า

    4. Machine Learning สามารถประเมินความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้

    5. ข้อมูลที่ได้จาก Machine Learning ธุรกิจสามารถนำไปใช้เพื่อปรับปรุงผลิตภัณฑ์ หรือ สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้

    6. Machine Learning ช่วยให้ธุรกิจตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ทันที

    7. เพิ่มความปลอดภัย ป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้ เช่น การตรวจจับพฤติกรรมที่ผิดปกติของระบบไอที 

    เปรียบเทียบ Machine Learning vs Deep Learning vs AI ต่างกันยังไง

    แน่นอนว่าคงยังมีอีกหลายคนที่ยังสับสนว่าแล้ว AI vs Deep Learning vs Machine Learning คืออะไร แตกต่างกันยังไง มาครับผมจะอธิบายให้ทุกคนเข้าใจง่าย ๆ

    อย่างแรกที่ทุกคนต้องเข้าใจก่อน คือ AI เป็นระบบที่สร้างมาเพื่อลอกเลียนแบบความสามารถของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็น การคิด การวิเคราะห์ข้อมูล การติดสินใจ รวมไปถึงการแก้ไขปัญหา ซึ่ง Machine Learning และ Deep Learning เป็นส่วนหนึ่งของ AI ซึ่งทั้งสามระบบนี้ เหมาะกับการใช้งานที่แตกต่างกัน

     ● AI เหมาะกับงานที่ต้องการระบบอัตโนมัติที่สามารถทำงานได้คล้ายกับมนุษย์ แต่ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้หรือพัฒนาตัวเอง เช่น ระบบแยะยำสินค้า การควบคุมอุปกรณ์อัตโนมัติ Chatbot 

     ● Machine Learning เหมาะกับงานที่ต้องการเรียนรู้จากข้อมูลที่มีโครงสร้างและงานที่เน้นการคาดการณ์และการวิเคราะห์เชิงสถิติ เช่น วางแผนการตลาด การคาดการณ์ยอดขาย การวิเคราะห์ความเสี่ยง การแบ่งกลุ่มลูกค้า และการตรวจจับการล้อโกง

     ● Deep Learning เหมาะกับงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลที่ซับซ้อน เช่น รูปภาพ วิดีโอ และเสียง อย่าง การตรวจจับวัตถุในภาพ การจดจำใบหน้า การขับเคลื่อนอัตโนมัติ และการสร้างข้อความหรือเสียง

    ตัวอย่างบริษัทที่นำ Machine Learning มาประยุกต์ใช้ช่วยให้การทำงานราบรื่น

    ปัจจุบันมีหลายบริษัทที่นำ Machine Learning มาประยุกต์ใช้แล้วได้ผลตอบรับที่ดีเกินความคาดหมาย 

    1. Facebook (Meta)

    แน่นอนว่าทุกคนในที่นี้คงไม่มีใคร ไม่รู้จักกับบริษัทระดับโลกจาก Meta เจ้าของแอปพลิเคชันที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกอย่าง Facebook โดย Meta ได้มีการนำ Machine Learning มาประยุกต์ใช้กับฟีเจอร์การปรับแต่งฟีดข่าว (News Feed Optimization) ซึ่งจะมีการจัดเรียงโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับความสนใจของผู้ใช้งาน ทั้งยังช่วยวิเคราะห์เนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ผิดกฎหมาย ไม่ให้แสดงผลบนแพลตฟอร์ม นอกจากนี้ยังได้มีการนำ Machine Learning เข้ามาช่วยในฟีเจอร์การแนะนำเพื่อน (Friend Suggestion) ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือผู้ใช้บริการมีความพึงพอใจมากขึ้น 

    2. Google

    ไม่ใช่เพียง Facebook เท่านั้นที่มีการนำ Machine Learning แต่บริษัทใหญ่ยักษ์อย่าง Google ก็ได้นำ Machine Learning มาประยุกต์ใช้กับระบบ Google Search เพื่อช่วยให้ User ได้รับผลการค้นหาที่แม่นยำและตรงกับความต้องการของ User มากที่สุด นอกจากนี้ Google ยังนำ Machine Learning มาใช้ใน Google Translate โดยใช้ Neural Networks เพื่อพัฒนาคุณภาพการแปลภาษาให้ดีมากกว่าสมัยก่อน 

    3. Tesla

    บริษัทน้องใหม่อย่างรถยนต์ไฟฟ้าจากแบรนด์ Tesla ก็ได้มีการนำ Machine Learning มาใช้เช่นเดียวกันครับ โดยใช้เพื่อเรียนรู้ข้อมูลการขับขี่จริงและปรับปรุงประสิทธิภาพขงรถยนต์ผ่านการอัปเดตซอฟต์แวร นอกจากนี้ยังมีการใช้ Deep Learning ในการวิเคราะห์ข้อมูลจากกล้องและเซ็นเซอร์เพื่อควบคุมยานพาหนะโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยคนขับ

    สรุป

    ทีนี้ทุกคนน่าจะเข้าใจความสำคัญของ Machine Learning แล้วว่าคืออะไร แน่นอนว่าการนำ Machine Learning , Deep Learning , AI มาใช้กับการทำงานนั้นมีประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น การเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพงาน ช่วยลดต้นทุน ลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น คาดการณ์เทรนในอนาคต พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า และอื่น ๆ อีกมากมาย ทั้งนี้อย่าลืมคำนึงถึงความเหมาะสมและผลลัพธ์ที่ธุรกิจและองค์กรต้องการเพื่อเลือกใช้งาน Machine Learning ให้เหมาะสมกับแต่ละงานด้วยล่ะ

    บริษัท Hocco ของเราเป็นบริษัทที่รับสร้างเว็บไซต์ และพัฒนาแอปพลิเคชัน เว็บไซต์และระบบหลังบ้านโดยเฉพาะ รวมทั้งยังช่วยในเรื่องการวิเคราะห์และทำความเข้าใจธุรกิจ ตลอดจนการวางแผน ออกแบบ และปรับแต่งเว็บไซต์ หน้าเพจให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ พร้อมทั้งทีมงาน Support ที่จะช่วยเหลือธุรกิจของคุณให้สามารถทำยอดขายและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจมากยิ่งขึ้น สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ E-mail : hello@hocco.co หรือโทร. 064-6166426, 084-7332417

    MORE ARTICLES

    05.02.2025

    0 Comment