×

START A PROJECT

We are here to build a high-quality extension for brands to serve your consumers.

    By HOCCO - 03 เมษายน 2024

    Scrum คืออะไร ต้องมีใครบ้าง ดูข้อดี ข้อเสีย ความต่างกับ Agile


    Scrume Framwork คืออะไร? เนื่องด้วยปัจจุบันมีการนำความรู้ เทคโนโลยี และซอฟต์แวร์ประยุกต์ต่าง ๆ มาใช้กันอย่างเพิ่มมากขึ้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แนวคิดใหม่ ๆ มักจะเกิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่อการทำงานให้สะดวกและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานในหลาย ๆ องค์กร ซึ่งแนวคิดที่เรียกว่า “Scrum” หรือ “Scrum Framework” ก็จัดเป็นอีกแนวคิดที่มีถูกพูดถึงเป็นเยอะมาก โดยเฉพาะการใช้คู่กับแนวคิด Agile ซึ่งใครที่สงสัย Scrum คืออะไร นำมาปรับใช้กับการทำงานได้อย่างไร บทความนี้มีคำตอบมาบอกเล่ากันแล้ว

    Scrum คือ

    Scrum คือ Framework การทำงานที่จะแบ่งโปรเจกต์เป็นขั้นตอนย่อยๆ ที่ช่วยให้สามารถระบุปัญหาที่มีความซับซ้อน รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทั้งนี้ก็เพื่อตอบรับการทำงานที่มีความยืดหยุ่น เน้นเสริมสร้างการทำงานเป็นทีม มากกว่าการเจาะลึกไปที่ขั้นตอนของการดำเนินการ หลังจากการส่งยังช่วยวัดผลและสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด หากเกิดปัญหาก็สามารถแก้ไขได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด จึงช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์จนสามารถตอบโจทย์ผู้ใช้และลูกค้าได้เป็นอย่างดี

    ตามทฤษฎีแล้ว Scrum ประกอบด้วย 3 คุณสมบัติ ได้แก่

     1. ความโปร่งใส (Transparency) ทุกคนในทีมเห็นการทำงานของกันและกัน และเข้าใจนิยามของเนื้องานที่ได้ตกลงกันไว้ เช่น การคุยด้วยภาษาเดียวกันเพื่อเลี่ยงปัญหาการสื่อสาร

     2. การตรวจสอบ (Inspection) สามารถตรวจสอบการทำงานได้อยู่เสมอว่าเป็นไปตามแผนที่วางไว้หรือไม่

     3. การปรับเปลี่ยน (Adaption) หากพบว่ามีการทำงานที่ไม่เป็นไปตามแผน จะต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแผนเพื่อลดข้อผิดพลาดของผลิตภัณฑ์ให้ได้เร็วที่สุด

    Scrum และ Kanban และ Agile แตกต่างกันอย่างไร ?

    หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่า Scrum, Kanban และ Agile แตกต่างกันอย่างไร เกี่ยวข้องกันอย่างไร ผมได้สรุปความแตกต่างมาให้แล้วดังนี้

    Scrum คือความคิดต่อยอดมาจากหลักการ Agile เป็นสิ่งที่ทำให้หลักการของ Agile สามารถเป็นจริงขึ้นมาได้ หรือจะให้พูดง่าย ๆ ที่สุด Agile คือแนวคิด ปรัชญาการทำงาน เพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วที่สุด ส่วน Scrum คือเครื่องมือต่าง ๆ ในการที่จะทำให้การทำงานรวดเร็ว และได้ประสิทธิภาพมากขึ้น เปรียบเสมือนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การทำงานแบบ Agile สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

    ส่วน Kanban นั้น ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด Agile เช่นกัน โดยความแตกต่างของการ Kanban และ Scrum ก็คือ Kanban นั้นจะมองปัญหาคนละแบบกับ Scrum กล่าวคือ Scrum เน้นเรื่องการทำงานเป็นทีมและทำทีมให้มีประสิทธิภาพ แต่ Kanban จะมองการทำงานทั้งหมดเป็นระบบและทำให้ระบบมีประสิทธิภาพ เนื่องจาก Kanban นั้นได้อิทธิพลส่วนใหญ่มาจาก Lean ซึ่งมุ่งเน้นในการทำงานทั้งระบบให้ลื่นไหล


    ข้อดีของการทำ Scrum

     1. เพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการทำงาน จากการแบ่งโปรเจกต์ออกเป็นขั้นตอนย่อยๆ ช่วยให้จัดการและวางแผนได้ง่ายขึ้น

     2. มีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนแผนงานได้ตามเงื่อนไข สถานการณ์ หรือ Feedback จากลูกค้า

     3. ผลิตภัณฑ์จะถูกพัฒนาและมีขั้นตอนในการทดสอบ ทำให้ทีมงานสามารถค้นพบและแก้ไขข้อผิดพลาดได้ทันที ไม่ต้องแก้ไขในขั้นตอนสุดท้ายทีเดียว

     4. ช่วยพัฒนาการทำงานเป็นทีม มีการสื่อสารอย่างสม่ำเสมอในขั้นตอน Daily Scrum Meeting ซึ่งสามารถกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ได้มากขึ้น

     5. ช่วยให้ประหยัดเวลาและต้นทุนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์

    นอกจากข้อดีแล้วนั้น การทำ Scrum ก็มีข้อเสียเช่นกัน คือ

     1. หลายครั้งไม่มีการกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน ทำให้กำหนดงานเลื่อนออกไปเรื่อย ๆ

     2. มีความท้าทายสูงหากนำรูปแบบการทำงาน Scrum ไปใช้กับทีมขนาดใหญ่

     3. หากมีสมาชิกคนใดคนหนึ่งออกจากทีมในระหว่างการทำงาน อาจทำให้เกิดปัญหา และทำให้งานล่าช้าได้

    ทีมงาน Scrum แต่ละตำแหน่งมีหน้าที่อะไรบ้าง

    ทีมงาน Scrum นั้นจะประกอบด้วย 3 ตำแหน่งที่สำคัญ คือ Product owner, Development team และ Scrum master โดยทำงานร่วมกันแบบ “Cross functional” คือแต่ละตำแหน่งจะทำงานประสานกันเป็นทีม สำหรับแต่ละตำแหน่งในทีม Scrum นั้นทำหน้าที่อะไรบ้าง เราไปดูกันเลย

     1. Product Owner หรือเจ้าของผลิตภัณฑ์ เป็นผู้รับผิดชอบในการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการทำงานของ Development Team การดำเนินการนี้อาจแตกต่างกันออกไปในแต่ละองค์กรแต่ละทีมงาน Scrum และแต่ละตัวบุคคล

    Product Owner เป็นบุคคลเพียงผู้เดียวที่บริการจัดการ Product Backlog โดยทำการจัดการดังนี้

     • ทำให้แต่ละงานที่อยู่ใน Product Backlog มีความชัดเจน

     • เรียงลำดับความสำคัญของงานที่อยู่ใน Product Backlog ให้บรรลุเป้าหมายและภารกิจต่างๆ

     • เพิ่มมูลค่าผลงานของ Development Team

     • ทำให้แน่ใจได้ว่า Product Backlog สามารถถูกมองเห็นได้อย่างชัดเจนมีความโปร่งใส และทำให้เห็นว่าทีมงาน Scrum จะทำงานอะไรต่อไป

     2. Development Team หรือทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญหลายคนทำงานร่วมกันเพื่อส่งมอบ Increment ที่เสร็จสมบูรณ์ในช่วงท้ายของแต่ละ Sprint ซึ่ง Increment ที่เสร็จสมบูรณ์นี้เป็นสิ่งที่ต้องการใน Sprint Review ผู้ที่มีหน้าที่ในการสร้าง Increment คือ สมาชิกทั้งหมดของ Development Team โดยที่ Development Team ได้รับการจัดตั้งและมอบอำนาจจากองค์กรให้จัดระเบียบและบริหารงานด้วยตนเอง ผลจากการร่วมกันทำงานของ Development Team ช่วยทำให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลโดยรวมของทีมงานเอง

    Development Team มีลักษณะสำคัญ ดังนี้

     • รู้หน้าที่ของตนเองโดยไม่ต้องให้มีใครมาบอกว่าจะต้องทำอย่างไร ให้งานใน Product Backlog กลายมาเป็น Increment ที่พร้อมใช้งานและส่งมอบ

     • Development Team แต่ละคนมีความสามารถหลากหลายที่จำเป็นต่อการสร้าง Increment

     • แต่ละคนไม่มีชื่อตำแหน่ง โดยที่ไม่คำนึงถึงงานที่คนคนนั้นทำ

     • ไม่มีทีมงานย่อยใต้ Development Team เช่น ทีมงานทดสอบ ทีมงานที่ดูแลด้านโครงสร้างหรือ Architecture หรือแม้แต่ทีมงานวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจ

     3. Scrum Master มีหน้าที่รับผิดชอบต่อการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ Scrum ให้ถูกต้องตามที่ได้กำหนดไว้ Scrum Master ยังมีหน้าที่ทำให้ทีมงานทุกคนเข้าใจทฤษฎีของ Scrum ข้อปฏิบัติและข้อสำคัญต่างๆ รวมถึงการนำ Scrum ไปใช้

    หน้าที่ของ Scrum Master ต่อ Product Owner

     • ทำให้มั่นใจได้ว่าทีมงาน Scrum ทุกคนเข้าใจถึงเป้าหมาย ขอบเขตของเนื้องานและกลุ่มงานของผลิตภัณฑ์ (product domains)

     • หาเทคนิคต่างๆ ที่ทำให้เกิดการบริหารจัดการ Product Backlog ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

     • ช่วยให้ทีมงาน Scrum เห็นถึงความจำเป็นของความชัดเจน สั้น กระชับของงานใน Product Backlog

     • มีความเข้าใจในการวางแผนงานผลิตภัณฑ์ที่อยู่ภายใต้การทำงานแบบ Empiricism

     • ช่วย Product Owner เข้าใจวิธีการเรียงลำดับความสำคัญของงานใน Product Backlog ที่ทำให้เกิดมูลค่าสูงสุด

     • มีความเข้าใจเกี่ยวกับ Agile และสามารถนำไปปฏิบัติได้

    หน้าที่ของ Scrum Master ต่อ Development Team

     • ฝึก Development Team ให้สามารถเป็นทีมงานที่จัดการงานของตนเองและมีความสามารถที่หลากหลายได้

    • ช่วยทีมงานให้สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงได้

     • ช่วยกำจัดอุปสรรคที่ขัดขวางต่อการทำงานของ Development Team

     • ฝึก Development Team ในองค์กรที่เพิ่งจะนำเอา Scrum ไปใช้แต่ยังอาจจะไม่มีความเข้าใจที่แท้จริง

    หน้าที่ของ Scrum Master ต่อองค์กร

     • เป็นผู้นำและผู้ฝึกสอนภายในองค์กรในการนำ Scrum มาใช้

     • วางแผนการนำ Scrum มาใช้จนเกิดความสำเร็จภายในองค์กร

     • ช่วยให้พนักงานและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียขององค์กรเข้าใจเกี่ยวกับ Scrum และผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการทำงานแบบ Empiricism

     • ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มผลงานของทีมงาน Scrum

     • ทำงานร่วมกับ Scrum Master คนอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิผลในการนำ Scrum มาใช้องค์กร

    Scrum Artifacts เครื่องมือที่ช่วยให้การทำ Scrum ประสบความสำเร็จ

    Scrum Artifacts คือ เครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและแก้ปัญหาในการจัดการการทำงานของทีม รวมไปถึงเป็นการแสดงผลลัพธ์จากกิจกรรมต่างๆ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ แสดงถึงงานหรือคุณค่าของงาน เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเป็นโอกาสในการตรวจสอบและปรับเปลี่ยน ประกอบไปด้วย 3 ขั้นตอนหลัก ดังนี้

     1. Product Backlog

    Product Backlog คือ รายการจำนวนงานทั้งหมดที่นำมาใช้สำหรับพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งหน้าที่นี้ต้องทำโดย Product Owner พยายามเรียงลำดับความสำคัญเพื่อกระจายสู่คนอื่นในทีมให้ชัดเจน เช่น การกำหนดรายละเอียดของงานแต่ละตำแหน่ง หลักการสำหรับใช้ทดสอบผลลัพธ์ วางแผนและประเมินปัญหาอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น รวมคอมเมนต์ ฟีดแบ็กจากลูกค้า เป็นต้น

     2.Sprint Backlog

    Sprint Backlog คือ รายการงานที่ถูกเลือกมาจาก Product Backlog สำหรับใช้ทำในแต่ละ Sprint ส่วนนี้เป็นหน้าที่รับผิดชอบของ Development Team จะต้องค้นหา รวบรวมข้อมูลทั้งหมดสำหรับอัปเดตขั้นตอนต่าง ๆ ของงานที่ทำ เช่น สิ่งใดกำลังทำ สิ่งไหนกำลังจะทำ และสิ่งไหนทำเสร็จเรียบร้อย ปัจจัยสำคัญของขั้นตอนนี้คือทุกคนในทีมต้องเข้าถึงและตรวจสอบได้ตลอด

     3. Increment หรือ Sprint Goal

    เป็นผลงานที่มาจาก Product Backlog หากผลลัพธ์สมบูรณ์แบบก็จะเรียก Increment สามารถนำออกสู่ตลาด หรือใช้งานได้จริง และเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้

    จากบทความข้างต้น สรุปได้ว่า Scrum คือลักษณะของการแบ่งงานออกทีละขั้นตอนอย่างละเอียดเพื่อให้ทุกคนมองเห็นปัญหาของงานได้ชัดเจน สามารถปรับปรุง แก้ไข พัฒนาให้เกิดผลลัพธ์อันน่าพึงพอใจสูงสุดเพื่อการนำไปใช้จริง หรือส่งต่อถึงลูกค้าภายใต้ความสมบูรณ์แบบ เหมาะกับคนที่ทำงานเป็นทีม มีความยืดหยุ่นสูง และยังช่วยเสริมภาพลักษณ์ของธุรกิจให้อยู่ในทิศทางเชิงบวกอีกด้วย

    อ้างอิง

    https://www.atlassian.com/agile/scrum

    https://www.scrumalliance.org/about-scrum

    https://www.scrum.org/resources/what-scrum-module

    0 Comment