การตลาดที่ใช้อินฟลูเอนเซอร์เริ่มบูมขึ้นมาในช่วงห้าปีที่ผ่านมา และเติบโตเป็นมูลค่ากว่า 13.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2022 นี้ ถึงแม้ว่าการตลาดจากอินฟลูเอนเซอร์นั้นมีอิทธิพลมาระยะหนึ่งแล้ว อย่างไรก็ตาม มันพุ่งสูงอย่างเป็นประวัติการนับขึ้นตั้งแต่เกิดโรคระบาดใหญ่ทั่วโลกในปี 2019 ที่ผ่านมา เนื่องจากการถูกกักตัวให้อยู่ในอาณาบริเวณของตัวเอง ไม่สามารถท่องเที่ยว ธุรกิจการบินและการคมนาคมอื่น ๆ ถูกสั่งให้หยุด จึงทำให้มนุษย์เหมือนถูกทิ้งร้างไว้ที่เกาะอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นั่นจึงทำให้ผู้คนจำนวนมากเริ่มสร้างรายได้จากงานอดิเรกและความสนใจของตนเองบนโซเชียลมีเดีย
การเฟื่องฟูของอินฟลูเอนเซอร์
ในขณะที่เศรษฐกิจของครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์เฟื่องฟู ธุรกิจต่าง ๆ ก็พร้อมที่จะทุ่มเงิน 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐไปกับการตลาดแบบอินฟลูเอนเซอร์ในปี 2023 นอกจากนี้ กว่า 70% ของนักการตลาดในสหรัฐอเมริกาคาดว่าจะใช้ประโยชน์จากการตลาดแบบอินฟลูเอนเซอร์อย่างเต็มที่ในปีนี้และอีกสองปีข้างหน้า โดยเครื่องมือสร้างรายได้บนโซเชียลมีเดียหลัก ๆ ได้แก่ Instagram Collabs & Branded Content Ads, Facebook Brand Collabs Manager, TikTok Creator Marketplace และอื่น ๆ เพื่อกระตุ้นเทรนด์
เพื่อใช้ประโยชน์จากกลยุทธ์การตลาดที่กำลังเติบโตนี้ได้ดียิ่งขึ้น การทำความเข้าใจผู้มีอิทธิพลทางโซเชียลมีเดียประเภทต่าง ๆ ที่สามารถทำงานร่วมกับแบรนด์ของคุณได้จะเป็นประโยชน์อย่างมาก โดยในปัจจุบันการตลาดแบบ World-of-Mouth ยังคงเป็นวิธีที่มีคุณค่าสำหรับผู้ซื้อในการตัดสินใจ และยิ่งมีคนพูดถึงผลิตภัณฑ์ของคุณและแชร์คำแนะนำบนโซเชียลมีเดียมากเท่าไร แบรนด์ของคุณก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในยุคดิจิทัล
การเลือกใช้ประโยชน์ของอินฟลูเอนเซอร์ทางการตลาด
ข้อความทางการตลาดจากผู้มีอิทธิพลในโซเชียลมีเดียประเภทต่าง ๆ จะเข้าถึงผู้ชมที่แตกต่างกันและบรรลุเป้าหมายที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะธุรกิจของคุณ ระดับหรือประเภทของผู้มีอิทธิพลทางโซเชียลมีเดียที่เหมาะสมที่สุดในการเป็นพันธมิตรกับคุณอาจแตกต่างกันไป ตอนนี้แบรนด์ต่าง ๆ อาจจะจะร่วมมือกับผู้มีอิทธิพลในโซเชียลมีเดียโดยการโพสต์โปรโมตโซเชียลคอนเทนต์หลากหลายชุดหลากหลายรูปแบบ เลือกคนที่เหมาะสมที่จะนำเสนอสินค้านั้น ๆ เข้ามาใช้งาน ไม่ใช่โพสต์โปรโมตเพียงโพสต์เดียว แบรนด์จะพยายามใช้เนื้อหาที่สร้างโดยผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ ไม่ใช่การนำเสนอจากแบรนด์โดยตรง หรือที่เราคุ้นเคยดีกับการรับงานรีวิวของ Influencers ดัง ๆ หลาย ๆ คน โดยเฉพาะเรื่องของ User-generated content (หรือ UGC) เป็นหลักฐานทางสังคมถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์หรือบริการของแบรนด์ต่าง ๆ หลายแบรนด์ส่งเสริมเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น เมื่อทำเช่นนี้พวกเขาได้รับผลประโยชน์สองทางนั่นก็คือ พวกเขาสามารถลดงบประมาณด้านการตลาดลงได้โดยการผลักดันเนื้อหาประเภท UGC แทน และประการที่สองคือ แบรนด์ช่วยนำลูกค้าไปสู่แถวหน้า เป็นที่รู้จักในโซเชียลมีเดียและทำให้พวกเขารู้สึกมีค่าในแง่ของการสร้าง UGC ขึ้นมานั่นเอง
ทำความรู้จักไมโครอินฟลูเอนเซอร์ (Micro-Influencer)
ไมโครอินฟลูเอนเซอร์มีผู้ติดตามระหว่างราว ๆ 10,000-100,000 คน บางแหล่งอ้างอิงก็ว่าราว ๆ 5,000 คนขึ้นไปก็เรียกได้ว่าเป็นไมโครอินฟลูเอนเซอร์แล้ว หรือบางงานวิจัยก็บอกว่าระดับของไมโครอินฟลูเอนเซอร์ผู้ติดตามอาจจะอยู่ที่ไม่เกิน 50,000 คนโดยประมาณ ซึ่งอาจคาบเกี่ยวกับการแบ่งประเภทของนาโนอินฟลูเอนเซอร์ด้วยเช่นกัน โดยไมโครนั้นพัฒนามาจากระดับนาโนที่เริ่มมีฐานแฟนจากแนวทางของช่องทางหรือคอนเทนต์ที่นำเสนอ และมีผู้ติดตามที่มากขึ้น โดยจำนวนผู้ติดตามอาจมีความหมายในแง่ของความสัมพันธ์ เพราะความเป็นกันเองและมีความสามารถในการสื่อสารระหว่างตัวอินฟลูเอนเซอร์กับผู้ติดตามจะทำให้ผู้ติดตามหลาย ๆ คนรู้สึกเหมือนพวกเขาเป็นเพื่อนที่สามารถพูดคุยบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ของกันและกันได้
ผู้มีอิทธิพลระดับไมโครมีสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและความน่าเชื่อถือในช่องของพวกเขาโดยการสร้างชุมชนที่แน่นแฟ้นที่มีส่วนร่วมสูงพวกเขาไม่ใช่คนดังแต่สร้างชื่อเสียงให้ตัวเองในฐานะแหล่งคำแนะนำที่น่าเชื่อถือในพื้นที่เป้าหมายหรือในกลุ่มผู้ติดตามของเขาเอง เนื่องจากการมีส่วนร่วมและการโต้ตอบนั้นสูงสำหรับคนในหมวดหมู่นี้ พวกเขาจึงมักมีโอกาสมากขึ้นสำหรับการสร้างคุณค่าให้กับแบรนด์ที่แท้จริง
ไมโครอินฟลูเอนเซอร์กับการสร้างรายได้ให้ตนเองและแบรนด์บนโลกออนไลน์
เหตุใดแบรนด์ส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะว่าจ้างให้ไมโครอินฟลูเอนเซอร์ทำการตลาดให้กับแบรนด์บนโลกออนไลน์ อย่างที่อธิบายไปก่อนหน้านนี้เรื่องของสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและความน่าเชื่อระหว่างตัวอินฟลูเอนเซอร์กับผู้ติดตามของเขา จำนวนผู้ติดตามราว ๆ 10K ถึง 100K นั้นไม่ใช่จำนวนที่น้อยเลยในการสร้างคุณค่าให้กับแบรนด์ ยิ่งถ้าความสัมพันธ์ระหว่างตัวอินฟลูเอนเซอร์กับผู้ติดตามนั้นดีต่อกันอยู่แล้วยิ่งมีคุณค่าในการสร้างแบรนด์ให้รู้จักเป็นที่มากขึ้นไปอีก ด้วยความเชี่ยวชาญในช่องทางการสื่อสารของตนเอง อาจจะเป็นแพลตฟอร์มใด ๆ ก็ตาม อินฟลูเอนเซอร์เหล่านั้นมีอัตราการมีส่วนร่วมกับแฟน ๆ สูงมากเมื่อเทียบกับอินฟลูเอนเซอร์ประเภทอื่น ๆ และมีผู้ชมที่มีการแบ่งกลุ่มสูงโดยที่เราไม่ต้องมาจัดประเภทผู้ใช้งานอีกรอบเหมือนกับการสื่อสารแบรนด์ออกสื่อใหญ่ ๆ ซึ่งจะทำให้แบรนด์ของคุณปรับแต่งโฆษณาให้เหมาะกับพวกเขาได้ง่าย เรื่องของค่าใช้จ่ายในการจ้างก็อาจจะไม่ได้สูงมากเท่ากับระดับเซเลปหรือซูเปอร์สตาร์ที่มีผู้ติดตามมากกว่าสองล้านคน ไมโครอินฟลูเอนเซอร์หลายคนยังเปิดรับการชดเชยในรูปแบบอื่น ๆ รวมถึงการแจกของรางวัลจากแบรนด์ ซึ่งนำไปสู่โอกาสที่มากขึ้นสำหรับบริษัทที่ไม่มีเงินทุนเพียงพอสำหรับแคมเปญการตลาดที่ใช้อินฟลูเอนเซอร์
ไมโครอินฟลูเอนเซอร์จะให้ประโยชน์กับแบรนด์มากที่สุดโดยการเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาดโดยใช้อินฟลูเอนเซอร์จากการรับรู้ถึงแบรนด์ไปสู่แนวทางที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ตัวอย่างเช่น หากคุณมีแบรนด์เสื้อผ้าและต้องการกำหนดเป้าหมายลูกค้าที่มีโอกาสเป็นลูกค้ามากขึ้น แทนที่จะร่วมมือกับผู้มีอิทธิพลระดับแนวหน้าและดาวเด่นที่มีผู้ติดตามหลายล้านคน คุณควรเลือกผู้มีอิทธิพลขนาดเล็ก เพื่อกระจายการรับรู้อย่างครอบคลุม
ไมโครอินฟลูเอนเซอร์จำนวนมากสามารถช่วยสร้างการสื่อสารที่เหมาะสมไปยังผู้คนที่เหมาะสมในระดับที่ใหญ่ขึ้นได้ เหตุผลที่ไมโครอินฟลูเอนเซอร์มีผู้ติดตามมากขึ้น และเหมาะที่จะสื่อสารการตลาดให้กับแบรนด์ต่าง ๆ ได้ก็คือพวกเขาเป็นบุคคลที่เชี่ยวชาญในสาขาใดสาขาหนึ่ง ความเชี่ยวชาญพิเศษนี้ช่วยให้แบรนด์ของคุณสามารถเป็นพันธมิตรกับพวกเขาได้ทุกเมื่อที่คุณพบว่าจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าจำนวนผู้ติดตาม หากคุณสร้างแบรนด์อาหารก็แค่เฟ้นหาไมโครอินฟลูเอนเซอร์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านอาหาร หากคุณสร้างแบรนด์เครื่องสำอางก็เลือกไมโครอินฟลูเอนที่มีความโดดเด่นเรื่องการใช้ความเชี่ยวชาญในการแต่งหน้าดูแลร่างกาย เป็นต้น
ซึ่งจากข้อมูลของ Influencer DB บัญชี Instagram เกือบ 30% เป็นไมโครอินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตามน้อยกว่า 100,000 คน ด้วยเหตุนี้ แพลตฟอร์มโซเชียล เช่น Instagram จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการที่จะสร้างความสัมพันธ์จากแบรนด์ของคุณไปสู่อินฟลูเอนเซอร์ ที่จะสื่อสารไปสู่ผู้ติดตามของเขา และนำไปสู่การรับรู้ต่อสาธารณะมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
0 Comment