การสืบพันธุ์ เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ในการสร้างชีวิตใหม่ขึ้นมาเพื่อทดแทนมนุษย์ที่ดับสูญไปแล้ว บรรพบุรุษของมนุษย์ กำเนิดเมื่อ 2-5 ล้านปี มาแล้ว และก็ยังมีมนุษย์ดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต่อจนถึงปัจจุบันนี้ก็เนื่องมาจากสมบัติที่สำคัญของมนุษย์นั่นก็คือ การสืบพันธุ์นั่นเอง
แต่ความสามารถในการขยายพันธุ์ในมนุษย์ปัจจุบันนี้ก็ไม่ได้ง่ายเหมือนกัน ว่ากันว่าในมนุษย์ที่มีร่างกายแข็งแรงปกติทั่วไปนั้น มีโอกาสที่จะมีลูกได้เพียง 70% เท่านั้น เมื่อเทียบกับสิ่งมีชีวิตอื่นอย่างหนูที่มีโอกาสมีลูกหลังการผสมพันธุ์สูงถึง 99% เลยทีเดียว
ในยุคที่ผู้คนทำงานหนักจนแทบไม่เหลือเวลาให้ใช้ชีวิต ทำให้อัตราการเกิดของมนุษย์ในยุคนี้ลดลงไปมาก โดยเฉพาะในประเทศไทยที่อัตราการเกิดลดต่ำลงไปเรื่อย ๆ และกำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ นอกจากการสมัครใจที่จะไม่มีลูกของผู้คนในปัจจุบัน ปัญหาใหญ่อีกหนึ่งอย่างคือการมีลูกยากกว่าปกตินั่นเอง สาเหตุอาจจะมาจากหลายอย่างเช่น การไม่มีเวลา หรือการพยายามที่จะมีลูกตอนอายุมากเป็นต้น ดังนั้นจึงทำให้เกิดเทคโนโลยีทางการแพทย์ขึ้นอย่างหลากหลายเพื่อเข้ามาช่วยเหลือผู้คนให้มีโอการในการสืบพันธุ์ที่สูงขึ้น สิ่งนี้สามารถเรียกรวม ๆ เป็นภาพใหญ่ได้ว่า “เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์” หรือ “Medically Assisted Reproduction (MAR)”
การทำ MAR มีประเภทใหญ่ ๆ อยู่สองแบบ คือ “การฉีดอสุจิเข้าโพรงมดลูก” หรือ “Intra - Uterine Insemination (IUI)” แทบจะคล้ายกับวิธีการทางธรรมชาติที่สุดสำหรับวิธีนี้ หลายคนอาจเรียกมันว่าเป็นวิธีการผสมพันธุ์ทางธรรมชาติที่ให้หมอช่วย มักจะเริ่มจากการให้เพศหญิงทานยากระตุ้นการตกไข่ เนื่องจากธรรมชาติสร้างให้เพศหญิงไข่ตกทีละใบ แต่การทานยากระตุ้นจะช่วยให้ไข่ตกมากขึ้นอาจจะเป็น 2 ใบ และจะรู้วันที่ไข่ตกแน่นอนเพื่อไปให้หมอช่วยผสมให้ จากการนำน้ำเชื้อของเพศชายมาคัดโดยใช้เครื่องหมุนเหวี่ยงเพื่อแยกสเปิร์มที่มีคุณภาพและฉีดเข้าไปทางช่องคลอดโดยการฉีดเข้าไปจ่อที่ท่อนำไข่ของเพศหญิง ซึ่งในวิธีนี้ถ้าทำเกิน 3 ครั้งแล้วยังไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ก็อาจจะต้องไปหาวิธีที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นไปอีกขั้น
“เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์” หรือ “Assisted Reproductive Technology (ART)”
อีกวิธีที่เป็นการช่วยปฏิสนธิโดยตรงเลยนั่นก็คือ “เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์” หรือ “Assisted Reproductive Technology (ART)” หลายคนอาจได้ยินชื่อเรียกการทำ GIFT อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งการทำ GIFT (Gamete Intrafallopian Tube Transfer) เป็นการเอาไข่และน้ำเชื้อส่งเข้าไปที่ท่อนำไข่ให้ผสมกันเพื่อให้ได้ตัวอ่อนออกมา แต่ปัญหาใหญ่คือไข่และน้ำเชื้อมีเปอร์เซ็นต์ในการผสมกันค่อนข้องน้อยเมื่อนำเข้าไปแล้ว ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่เป็นที่นิยมมากในอดีต แต่ปัจจุบันนี้ไม่ได้รับความนิยมแล้ว
อีกวิธีของเทคโนโลยีช่วยการเจริญภัณฑ์ หรือการทำ ZIFT (Zygote Intrafallopian Transfer) วิธีนี้จะคล้ายกับการทำ GIFT แต่จะต่างกันตรงที่จะเป็นการฉีด Zygote หรือตัวอ่อนระยะเริ่มต้นเข้าไป ซึ่งคือการเอาไข่และน้ำเชื้อมาผสมกันข้างนอกให้ได้ตัวอ่อนระยะเริ่มต้นก่อนนำกลับเข้าไปที่ท่อนำไขเพื่อการเจริญเติบโตของตัวอ่อนต่อไปนั่นเอง และปัญหาใหญ่อีกอย่างหนึ่งเช่นเดียวกับการทำ GIFT คือตัวอ่อนส่วนใหญ่ที่มีอายุ 1-3 วันหลังฉีดหลับเข้าไปที่ท่อนำไข่ก็มักจะไม่สามารถดำรงและเจริญเติบโตต่อได้
และสิ่งหนึ่งที่ทำให้ GIFT และ ZIFT หมดความนิยมและไม่ค่อยจะมีสถาบันทางการแพทย์ที่ไหนทำแล้วอาจจะเนื่องด้วยต้องมีการผ่าตัดส่องกล้อง วางยาสลบ ซึ่งซับซ้อนและทำให้ผู้ต้องการตั้งครรภ์เจ็บตัวมากเกินไป ทำให้ปัจจุบันเลิกใช้สองวิธีนี้และก้าวไปสู่เทคโนโลยีที่ดีกว่า
“เด็กหลอดแก้ว” หรือ “In-Vitro Fertilization (IVF)”
อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่เรารู้จักกันดีนั่นก็คือเทคโนโลยีที่เรียกว่า “เด็กหลอดแก้ว” หรือ “In-Vitro Fertilization (IVF)” เป็นการปฏิสนธินอกร่างกายที่ได้รับความนิยมอย่างมาก การทำ IVF มีสองวิธีด้วยกันนั่นก็คือ “Conventional IVF” แพทย์จะทำการนำไข่ออกมาจากรังไข่และนำมาผสมนอกร่างกาย โดยทำการผสมบนจานเพาะเชื้อ ซึ่งจะทำการแยกไข่ออกมาไว้บนจานและนำสเปิร์มมาผสมและให้มันทำการผสมกันอยู่บนอุปกรณ์จนสำเร็จ
อีกวิธีที่อาจจะล้ำว่า Conventional IVF นั่นก็คือวิธีที่เรียกว่า “Intracytoplasmic Sperm Injection (ICSI)” เป็นการฉีดสเปิร์มเข้าที่ฟองไข่โดยตรง และเลี้ยงตัวอ่อนในจานให้มีชีวิตรอด และต้องดูรูปร่างและเวลาของตัวอ่อนให้สอดคล้องกัน ซึ่งระยะการเติบโตของตัวอ่อนที่อยู่บนภาชนะหากครบ 7 วันแล้วยังไม่เป็นรูปร่างของเซลล์ตามที่ตัวอ่อนควรจะเป็น การปฏิสนธิในครั้งนั้นก็จะไม่ประสบความสำเร็จ และถ้าเมื่อไหร่ที่ตัวอ่อนพร้อมที่จะดำรงชีวิตต่อแล้ว แพทย์ก็จะทำการนำตัวอ่อนกลับไปฝังไว้ที่โพรงมดลูก เป็นการฉีดกลับเข้าไปเพื่อรอการเจริญเติบโตของตัวอ่อนต่อไป
การผสมเทียมในกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ
มาถึงตรงนี้แล้ว แน่นอนว่าเทคโนโลยีการผสมเทียมได้สร้างโอกาสให้คนหลากหลายที่อยากจะตั้งครรภ์ นอกเหนือจากชายหญิงที่ไม่สามารถตั้งครรภ์ด้วยวิธีธรรมชาติแล้ว ก็ยังเป็นโอกาสให้กับคนที่มีความหลากหลายทางเพศและอยากที่จะมีลูกอีกด้วย
ในกรณีที่คู่รักมีเพศชีวภาพเป็นชายและชายทั้งคู่ ซึ่งการจะมีลูกหนึ่งคนต้องคัดเลือกสเปิร์มจากคนใดคนหนึ่งเท่านั้นเพื่อนำไปปฏิสนธิกับไข่ และต้องทำการหาไข่จากผู้ที่มีเพศชีวภาพหญิง ซึ่งมีหลายประเทศที่สามารถบริจาคไข่ได้ ซึ่งถ้าได้ไข่มาทำการปฏิสนธิแล้วนั้น ก็ต้องมีผู้มีเพศชีวภาพเป็นหญิงอีกหนึ่งคน มาทำการอุ้มท้องหลังจากผสมตัวอ่อนขึ้นมาแล้ว สิ่งที่ทำให้ต้องมีผู้มีเพศชีวภาพเป็นหญิงถึง 2 คนด้วยกัน คือคนหนึ่งเป็นเจ้าของไข่ อีกคนหนึ่งเป็นคนอุ้มท้อง ก็เพื่อป้องกันข้อตกลงหลาย ๆ อย่างที่อาจจะเป็นในแง่ของกฎหมาย เพราะถ้าเราใช้ผู้มีเพศชีวภาพเป็นหญิงแค่คนเดียวในการผสมเทียมครั้งนี้ นั่นแสดงว่าผู้หญิงคนนั้นถือสิทธิ์ความเป็นแม่ของเด็กที่จะเกิดขึ้นมา 100% ตามกฎหมาย ทำให้ต้องทำการแยกเจ้าของไข่ 1 คน และคนอุ้มท้องอีก 1 คนนั่นเอง
ในกรณีที่คู่รักมีเพศชีวภาพเป็นหญิงและหญิงทั้งคู่ สามารถทำได้ด้วยการรับบริจาคสเปิร์มเพื่อทำการผสมเทียมเช่นกัน และจะต้องเลือกว่าผู้ที่มีเพศชีวภาพหญิงคนใดจะเป็นเจ้าของไข่ และคนใดจะเป็นผู้ที่ต้องการอุ้มท้อง เพื่อให้คู่รักทั้งสองคนได้มีสิทธิ์ในความเป็นแม่เท่ากันทั้งคู่จากการแบ่งภาระหน้าที่ทั้งสองอย่างนี้
และความหวังที่น่าตื่นเต้นอีกอย่างหนึ่งที่เราอาจจะได้เห็นในอนาคตนั่นก็คือการผสมพันธุ์โดยไม่ต้องรับบริจาคไข่ เนื่องจากมีการตัดต่อเซลล์ผิวหนังให้เปลี่ยนแปลงขึ้นมาเป็นเซลล์ไข่ได้ การค้นพบเช่นนี้จึงเป็นการแก้ปัญหากลไกชีววิทยาการสืบพันธุ์ที่เราติดค้างเป็นเวลานาน แต่การจะตัดต่อเซลล์ในมนุษย์นั้นมีข้อจำกัดอยู่มากทั้งในแง่ของศีลธรรม จรรยาบรรณต่าง ๆ ที่ยังไม่มีการสร้างมนุษย์จากการเปลี่ยนแปลงเซลล์เช่นนี้ แต่เรื่องนี้ได้ทำการทดลองให้เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิตอื่นแล้วอย่างเช่น หนู โดยทีมนักวิจัยของญี่ปุ่นสามารถให้กำเนิดลูกหนูทดลอง โดยใช้ไข่ที่ดัดแปลงมาจาก ‘เซลล์ผิวหนัง’ (Skin cells) ของหนูเต็มวัยได้สำเร็จ
(อ้างอิง: เนิร์ดหลังห้อง EP8 | การแพทย์สุดล้ำ กฎหมายย่ำอยู่กับที่ | พน.ธิบดี หฤชัยะศักดิ์)
นับได้ว่าเทคโนโลยีการผสมเทียมได้พาโลกให้เดินไปข้างหน้าโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เป็นเทคโนโลยีที่โอบล้อมเอาความความหลากหลายเอาไว้ ทำให้คนหลากหลายทางเพศได้มองเห็นโอกาสที่พวกเขาจะสร้างครอบครัวได้ ไม่ว่าเพศชีวภาพจะตรงกันกับคู่รักก็ตาม และมีเพียงกฎหมายเท่านั้นที่ยังไม่เปิดกว้างและรับเอาวิทยาศาสตร์ที่อาจจะนำพาผู้คนไปสู่อนาคตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ได้
0 Comment