ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจดุเดือดและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอย่างรวดเร็ว “AI Tools” หรือ เครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ กลายเป็นอาวุธสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเร็ว ประสิทธิภาพ หรือคุณภาพของงานที่ส่งถึงลูกค้า วันนี้จะมาแนะนำ 15 AI Tools ที่ที่จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจของคุณให้เติบโตอย่างยั่งยืน จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันได้เลย!
AI Tools คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร ?
AI Tools หรือ เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ คือโปรแกรมซอฟต์แวร์หรือระบบที่พัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) เพื่อช่วยให้สามารถทำงานต่าง ๆ ได้อย่างอัตโนมัติหรือมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย AI Tools จะสามารถเรียนรู้ วิเคราะห์ ประมวลผล และตัดสินใจได้ในระดับหนึ่งโดยไม่ต้องพึ่งพาการควบคุมของมนุษย์ตลอดเวลา เปรียบเสมือนผู้ช่วยอัจฉริยะที่ช่วยให้ทำงานต่าง ๆ สำเร็จลุล่วงได้เร็วขึ้นนั่นเอง
ประโยชน์ของ AI Tools
1. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
AI Tools สามารถทำงานซ้ำ ๆ ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ เช่น การจัดการข้อมูล การตอบอีเมล หรือการจัดทำรายงาน
2. ประหยัดเวลาและต้นทุน
ทำให้สามารถลดจำนวนแรงงานที่ต้องใช้ในงานที่สามารถทำแบบอัตโนมัติได้ เช่น ระบบตอบคำถามลูกค้าอัตโนมัติ
3. ช่วยในการตัดสินใจ
AI Tools ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่และแนะนำแนวทางที่เหมาะสม เช่น การวิเคราะห์แผนการตลาดหรือพฤติกรรมผู้บริโภค
4. สร้างสรรค์ไอเดียใหม่ ๆ
ช่วยคิดเนื้อหา ออกแบบ หรือแม้แต่แต่งเพลงหรือแต่งบทความได้
5. ทำให้เข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่ายขึ้น
ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านเทคนิคมาก ก็สามารถใช้งาน AI Tools ผ่านอินเทอร์เฟซที่เป็นมิตรกับผู้ใช้ได้
วิธีเลือกใช้ AI Tools ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
การเลือกใช้ AI Tools ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดนั้น ไม่ใช่แค่เลือกเครื่องมือที่ “ทันสมัย” หรือ “มีชื่อเสียง” เท่านั้น แต่ควรเลือกให้เหมาะกับเป้าหมาย ลักษณะงาน และบริบทของคุณด้วย ซึ่งสามารถพิจารณาได้จากแนวทางต่อไปนี้
1. รู้เป้าหมายของคุณให้ชัดเจน เพื่อเลือกเครื่องให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของคุณ
2. เลือกเครื่องมือที่เหมาะกับงาน โดยแต่ละ AI Tools ถูกออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ ตัวอย่างเช่น
● สร้างคอนเทนต์: ChatGPT, Jasper AI, Notion AI
● เขียนโค้ด: GitHub Copilot, Replit AI
● ออกแบบภาพ: Canva AI, Adobe Firefly, Midjourney
● สรุปข้อมูล: Claude, ChatGPT, Perplexity AI
● ตอบอีเมลอัตโนมัติ: Superhuman, Gmail + AI Add-ons
3. พิจารณาความง่ายในการใช้งาน (User-Friendly) ของเครื่องมือนั้น ๆ
4. เครื่องมือที่ต้องการใช้มีความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวหรือไม่
5. สิ่งสำคัญควรคำนึงถึงราคาและความคุ้มค่าในการลงทุนด้วย
เลือก AI Tools ก็เหมือนกับการเลือกผู้ช่วย เพราะต้องเข้าใจเป้าหมายของเรา ใช้ง่าย ปลอดภัย ให้ผลลัพธ์ที่ดี และคุ้มค่ากับเวลา/ค่าใช้จ่ายนั่นเอง
15 AI Tools ที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณได้เปรียบกว่าคู่แข่ง ฉบับอัปเดตล่าสุด
ผู้ช่วยด้านการเขียน การวิเคราะห์ และการสื่อสารที่สามารถปรับแต่งให้เหมาะกับธุรกิจของคุณได้อย่างยืดหยุ่น
● ใช้สำหรับ: สร้างบทความ, เขียนอีเมล, สร้างสคริปต์, ตอบคำถามลูกค้า
● จุดเด่น: ปรับโทนเสียงให้เข้ากับแบรนด์, ใช้เสริมการคิดเชิงกลยุทธ์, สร้าง chatbot
● ตัวอย่างการใช้: ธุรกิจ SME ใช้ ChatGPT Online เพื่อสร้างคำโฆษณาและจัดการระบบตอบกลับอัตโนมัติบนเว็บไซต์
2. Jasper AI
AI Tools สำหรับสร้างเนื้อหาการตลาดที่สามารถปรับโทนเสียงและสไตล์ให้สอดคล้องกับแบรนด์ของคุณ
● ใช้สำหรับ: สร้างบทความ SEO, โพสต์โซเชียล, คำโฆษณา
● จุดเด่น: มีเทมเพลตเฉพาะสายงาน เช่น สายแฟชั่น เทคโนโลยี อีคอมเมิร์ซ
● ตัวอย่างการใช้: บริษัทสาย B2B ใช้ Jasper เขียนบทความสำหรับ LinkedIn และอีเมลการตลาด
3. Canva AI
แพลตฟอร์มออกแบบกราฟิกที่ใช้ AI เพื่อช่วยสร้างสรรค์งานออกแบบอย่างมืออาชีพได้อย่างรวดเร็ว
● ใช้สำหรับ: ออกแบบโปสเตอร์, โฆษณา, โลโก้, สไลด์
● จุดเด่น: ใช้ AI สร้างภาพจากข้อความ (Text-to-Image), สร้างแบรนด์คิตอัตโนมัติ
● ตัวอย่างการใช้: ร้านค้าออนไลน์ใช้ Canva AI สร้างโฆษณาบน Facebook โดยไม่ต้องจ้างนักออกแบบ
4. Synthesia
AI Tools ที่ใช้สร้างวิดีโอ AI ที่สามารถสร้างวิดีโอจากข้อความได้อย่างง่ายดาย เหมาะสำหรับการฝึกอบรมและการตลาด
● ใช้สำหรับ: วิดีโอฝึกอบรม, วิดีโอการตลาด, Presentation
● จุดเด่น: เลือกอวาตาร์เสมือน, รองรับหลายภาษา
● ตัวอย่างการใช้: บริษัท HR ใช้ Synthesia ทำวิดีโอ onboarding ให้พนักงานใหม่
5. Notion AI
ผู้ช่วยด้านการจัดการความรู้และการทำงานร่วมกันที่ใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของทีม
● ใช้สำหรับ: เขียนโน้ต, จัดระเบียบความคิด, จัดการโปรเจกต์
● จุดเด่น: AI สรุปข้อมูล, เขียนเนื้อหา, แปลภาษาในเอกสาร
● ตัวอย่างการใช้: ทีมสตาร์ทอัปใช้ Notion AI สรุปประชุมรายสัปดาห์และติดตามงาน
6. Otter.ai
เครื่องมือถอดเสียงอัตโนมัติที่ช่วยในการบันทึกและสรุปการประชุมได้อย่างแม่นยำ
● ใช้สำหรับ: จดบันทึกการประชุม Zoom, Google Meet, Microsoft Teams
● จุดเด่น: ถอดเสียงเรียลไทม์, สรุปใจความ, แชร์ให้ทีม
● ตัวอย่างการใช้: ผู้บริหารใช้ Otter สรุปการประชุมแล้วส่งให้ทีมอ่านย้อนหลัง
7. Grammarly
ผู้ช่วยด้านการเขียนที่ใช้ AI เพื่อปรับปรุงไวยากรณ์และสไตล์การเขียนให้เหมาะสม
● ใช้สำหรับ: แก้ไขไวยากรณ์, ปรับโทนภาษา, ตรวจสอบความชัดเจน
● จุดเด่น: วิเคราะห์โทนเสียง, AI ช่วยเขียนใหม่ให้กระชับ
● ตัวอย่างการใช้: ฝ่ายการตลาดใช้ Grammarly ปรับข้อความโฆษณาให้เป็นทางการและน่าเชื่อถือ
8. Zoom AI
ฟีเจอร์ AI ใน Zoom ที่ช่วยในการสรุปการประชุมและจัดการตารางเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
● ใช้สำหรับ: สรุปการประชุม, แปลภาษา, เตือนงานสำคัญ
● จุดเด่น: AI สร้าง action items, สรุปอัตโนมัติ, แนะนำ follow-up
● ตัวอย่างการใช้: บริษัทข้ามชาติใช้ Zoom AI ลดเวลาประชุมและเพิ่ม productivity
9. Trello AI
AI Tools ที่ใช้จัดการโปรเจกต์ที่ใช้ AI เพื่อช่วยในการวางแผนและติดตามความคืบหน้าของงาน
● ใช้สำหรับ: การวางแผนงาน, ติดตามโปรเจกต์
● จุดเด่น: AI แนะนำ task ถัดไป, วิเคราะห์ bottlenecks, สร้าง automation
● ตัวอย่างการใช้: ทีมการตลาดใช้ Trello AI วางแผนแคมเปญและมอนิเตอร์ KPI
10. Calendly 2.0
AI Tools สำหรับจัดการนัดหมายที่ใช้ AI เพื่อปรับตารางเวลาให้เหมาะสมกับทุกฝ่าย
● ใช้สำหรับ: นัดลูกค้า, นัดประชุม, นัดสัมภาษณ์
● จุดเด่น: AI แนะนำเวลาที่เหมาะสมที่สุด, เชื่อมกับ Google Calendar
● ตัวอย่างการใช้: ทีมเซลส์ใช้ Calendly ส่งลิงก์จองนัดลูกค้าโดยไม่ต้องพูดคุยไปมา
11. Evernote AI
แอปพลิเคชันจดบันทึกที่ใช้ AI เพื่อจัดระเบียบและค้นหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว
● ใช้สำหรับ: จดบันทึก, จัดเก็บไอเดีย, จัดระบบความรู้
● จุดเด่น: สรุปโน้ต, ค้นหาแบบเข้าใจความหมาย, จัดหมวดหมู่อัตโนมัติ
● ตัวอย่างการใช้: ผู้บริหารใช้ Evernote รวบรวมไอเดียจากหลายช่องทางและสรุปภาพรวมก่อนประชุม
12. Superhuman
แอปพลิเคชันอีเมลที่ใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการอีเมลและการสื่อสาร
● ใช้สำหรับ: จัดการอีเมลแบบรวดเร็วและแม่นยำ
● จุดเด่น: ฟีเจอร์ AI ช่วยเขียนตอบอัตโนมัติ, snooze อีเมล, แนะนำสิ่งที่ควรตอบก่อน
● ตัวอย่างการใช้: ผู้บริหารธุรกิจใช้ Superhuman ตอบอีเมลได้เร็วขึ้น 2–3 เท่า
13. Zapier AI
AI Tools อัตโนมัติที่ใช้ AI เพื่อเชื่อมต่อแอปพลิเคชันต่าง ๆ และปรับปรุงกระบวนการทำงาน
● ใช้สำหรับ: ทำงานซ้ำ ๆ แบบอัตโนมัติ เช่น ส่งข้อมูลจากฟอร์มไปยัง Excel
● จุดเด่น: AI แนะนำ automation flows ให้เอง, รองรับแอปมากกว่า 5,000 รายการ
● ตัวอย่างการใช้: ทีมขายใช้ Zapier เชื่อม Typeform กับ Google Sheets และ Slack
14. RescueTime
คือ AI Tools ใช้วิเคราะห์เวลาและประสิทธิภาพการทำงานที่ใช้ AI เพื่อช่วยในการปรับปรุงการใช้เวลา
● ใช้สำหรับ: ติดตาม productivity, วางแผนเวลา
● จุดเด่น: AI วิเคราะห์ว่าคุณเสียเวลากับอะไร, แนะนำวิธีเพิ่มโฟกัส
● ตัวอย่างการใช้: พนักงานรีโมทใช้ RescueTime เพื่อควบคุมเวลาหน้าจอและทำงานให้มีประสิทธิภาพ
15. Krisp AI
AI Tools สำหรับตัดเสียงรบกวนที่ใช้ AI เพื่อปรับปรุงคุณภาพเสียงในการประชุมออนไลน์
● ใช้สำหรับ: ปรับปรุงคุณภาพเสียงในการประชุมออนไลน์
● จุดเด่น: ลบเสียงพื้นหลัง, เดินผ่านก็ยังไม่รบกวน, ใช้ได้กับทุกแอปประชุม
● ตัวอย่างการใช้: ทีมบริการลูกค้าใช้ Krisp เพื่อรับสายลูกค้าแบบมืออาชีพโดยไม่ถูกรบกวน
0 Comment