กว่าจะมาเป็นเว็บไซต์ให้ทุกคนได้เล่นกันได้นั้น ทุกอย่างถูกพัฒนากันมาอย่างหนักหนาสาหัส ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบดีไซน์ไปจนถึงการเขียนเว็บไซต์ ซึ่งต้องใช้ความชำนาญเฉพาะทางมาช่วยเท่านั้น การใช้นักพัฒนาเฉพาะทางจึงจำเป็นอย่างมากในวงการนี้ ซึ่งโครงสร้างของเว็บไซต์หลัก ๆ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนด้วยกันคือ Front-End และ Back-End ดังนั้น วันนี้เราจะพาทุกคนไปเจาะลึกว่า Full Stack , Front End , Back End คือใคร ต้องทำอะไรบ้าง?
Front End คือ
Front End คือส่วนที่ผู้ใช้งาน (User) มองเห็นและโต้ตอบได้โดยตรงเมื่อใช้งานเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาเว็บไซต์ ปุ่ม เมนู ฟอร์ม หรือเอฟเฟกต์ต่าง ๆ ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Front End ส่วนใหญ่มักเรียกกันสั้น ๆ ว่า “หน้าบ้าน” หรือ User Interface (UI)
โดยส่วนนี้จะแสดงหน้าตาของเว็บไซต์ให้ผู้เข้าชมเห็น ซึ่งการออกแบบก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยดึงดูดและทำให้ผู้อื่นสนใจเว็บไซต์ ทั้งความสวยงาม การใช้งานเว็บไซต์ที่เข้าใจง่าย สะดวก และทำให้ผู้เข้าชมเห็นว่าเว็บไซต์มีการพัฒนาอยู่ตลอด
Front End Developer คือผู้ออกแบบส่วนซอฟต์แวร์ แอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์ที่ผู้ใช้งานมองเห็นและโต้ตอบได้ ซึ่ง Front End Developer จะมีหน้าที่ในการออกแบบและพัฒนาส่วน User Interface (UI) และ User Experience (UX) ให้น่าใช้งาน สวยงาม และตอบสนองได้อย่างราบรื่น
หน้าที่หลักของ Front End Developer คือ
1. ออกแบบและพัฒนา UI (User Interface) เช่น เมนู ปุ่ม ฟอร์ม ใช้งานง่ายและเข้ากับผู้ใช้มากที่สุด (User Friendly)
2. จัดการการแสดงผลบนหน้าจอ โดยออกแบบให้รองรับหลายอุปกรณ์ (Responsive Design) เช่น มือถือ แท็บเล็ต พีซี และทำให้เว็บไซต์แสดงผลสวยงามในทุกเบราว์เซอร์
3. พัฒนาเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันให้ดีขึ้นอยู่เสมอ เช่น เร็วขึ้น, ลื่นไหล และใช้งานง่ายขึ้น
4. ทำงานร่วมกับนักพัฒนา Back end เพื่อเชื่อมต่อส่วนหน้ากับส่วนหลังของเว็บไซต์
Back End คือ
Back End หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า “ระบบหลังบ้าน” หรือระบบจัดการเว็บไซต์ เช่น โครงสร้างของเว็บไซต์ ประมวลผล จัดการฐานข้อมูล เชื่อมต่อกับฐานข้อมูล และการเขียนโค้ดควบคุม XML, text file, JAVA, PHP, C#, C++ เป็นต้น เรียกได้ว่าเป็นฝั่งการทำงานที่มีเพียงเจ้าของเว็บไซต์ นักพัฒนาและผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่สามารถเข้ามาได้ เพื่อทำการ เพิ่ม ลบ แก้ไข เปลี่ยนแปลงเว็บไซต์
ในส่วนของBack End มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เป็นส่วนที่ทำการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ทั้ง Username/Password ข้อมูลสำคัญของเว็บไซต์ต่างๆ รวมไปถึงการทำงานของเว็บไซต์ ความเร็วในการแสดงผล
Back End Devloper คือผู้ที่ทำงานเบื้องหลังของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน รับผิดชอบในการวางระบบด้านหลังบ้านทั้งหมด และพัฒนาดูแลโครงสร้างพื้นฐาน เซิร์ฟเวอร์ ฐานข้อมูล และ API ที่ทำให้ส่วน Front End สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยหน้าที่หลัก ๆ ของ Back End จะจัดการกับการประมวลผลข้อมูล การรักษาความปลอดภัย และการเชื่อมต่อกับ Third-Party ต่าง ๆ
หน้าที่หลักของ Back End Developer คือ
1. เขียนโค้ดควบคุมการทำงานทั้งหมดของเว็บไซต์ เช่นการจัดการข้อมูลผู้ใช้ ประมวลผลธุรกรรม เชื่อมต่อกับฐานข้อมูล และระบบความปลอดภัย
2. พัฒนา API โดยการสร้างช่องทางให้ Front End เรียกใช้ข้อมูล เช่น เรียกข้อมูลสินค้า, สร้างบัญชีผู้ใช้
3. ดูแลความปลอดภัยของระบบ เช่นข้อมูลของผู้ใช้ ดูแลป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์
4. ทำงานร่วมกับ Front End Developer และทีมอื่น ๆ เพื่อพัฒนาเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันให้สมบูรณ์
Full Stack คือ
Full Stack Developer คือผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถในการพัฒนาทั้งในส่วนของ Front End และ Back End ของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน โดยต้องมีความรู้และความเข้าใจในเรื่องของการเขียนโค้ด ภาษาคอมพิวเตอร์ และต้องมีความสามารถในการวางแผนออกแบบ ติดตั้ง ควบคุม และดูแลรักษาระบบฐานข้อมูล นอกจากนี้ยังจำเป็นที่จะต้องเป็นผู้ฟังที่ดีและสื่อสารได้อย่างยอดเยี่ยม เพื่อให้งานทุกอย่างออกมาราบรื่น และตรงกับความต้องการของลูกค้า
หน้าที่หลักของ Full Stack Developer คือ
1. ออกแบบตั้งแต่ส่วนที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้งาน (Front End) ไปจนถึงการจัดการฐานข้อมูลและเซิร์ฟเวอร์ (Back End) ทำให้สามารถพัฒนาโปรเจกต์ได้อย่างครบวงจร
2. พัฒนาและดูแลระบบ ตรวจสอบให้ระบบทำงานได้เสถียรและปลอดภัย
จริง ๆ แล้วในส่วนของการดูแลหน้าบ้านและหลังบ้านนั้น ก็จะมีตำแหน่ง Front End Developer และ Back End Developer แยกตัวออกมาอยู่แล้ว แต่ความสำคัญของตำแหน่ง Full Stack Developer นั่นก็คือคนกลางที่จะคอยช่วยพัฒนาหรือประสานให้ทั้งหน้าบ้านและหลังบ้านทำงานร่วมกันได้อย่างไม่ติดขัด ซึ่งหากขาด Full Stack Developer ไป ก็อาจทำให้โปรเจกต์นั้น ๆ สะดุดหรือพบเจอปัญหาขึ้นได้
อธิบายความแตกต่างระหว่าง Front End vs Back End vs Full Stack
ทั้งสามส่วน Front End, Back End และ Full Stack นั้นมีความเชื่อมโยงกันและจำเป็นต้องทำงานร่วมกัน โดยที่
Front End คือ ส่วนที่ผู้ใช้เห็นและโต้ตอบได้บนเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน ทำหน้าที่ออกแบบ UI/UX, ทำให้เว็บไซต์ดูดีและใช้งานง่าย โดยใช้เทคโนโลยี เช่น HTML, CSS, JavaScript, React, Vue.js, Tailwind เข้ามาช่วย
Back End คือ ส่วนเบื้องหลังของเว็บไซต์ที่ผู้ใช้มองไม่เห็น ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูล, จัดการฐานข้อมูล และสร้าง API โดยใช้เทคโนโลยี Node.js, Python, PHP, Java, MySQL, MongoDB
Full Stack คือ นักพัฒนาที่ทำได้ทั้ง Front End และ Back End ทำหน้าที่พัฒนาเว็บไซต์ทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน โดยใช้เทคโนโลยีรวมทั้งหมดของทั้ง Front End และ Back End
จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หลายบริษัทต้องการตำแหน่ง Full Stack Developer แต่การที่จะลงทุนจ้าง Full Stack Developer ต้องมีงบประมาณที่ค่อนข้างสูง ดังนั้นการเลือกใช้บริการบริษัท Software House อย่าง Hocco จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้องค์กรที่มีงบประมาณที่จำกัด และไม่ต้องการที่จะใช้เงินลงทุนสูง เพราะเรามีทีมงานที่เชี่ยวชาญในการพัฒนาโปรแกรม ทั้ง Front End และ Back End แอปพลิเคชัน และสร้างเว็บไซต์ไว้ให้คุณแล้ว สนใจ Outsource IT สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อได้ที่ E-mail : hello@hocco.co
แล้วคุณเหมาะกับนักพัฒนาสายไหน ?
การเลือกสายงานนักพัฒนา (Front End / Back End / Full Stack) ให้ตรงกับความถนัดและความชอบของตัวเอง จะช่วยให้สนุกกับงานมากขึ้น ทำให้สามารถเรียนรู้ได้เร็ว และเติบโตในสายอาชีพได้ไวด้วย วันนี้จะมาอธิบายลักษณะทำงานแต่ละแบบว่าคุณเหมาะกับนักพัฒนาสายไหน
1. สาย Front End Developer เหมาะกับคนที่สนใจเรื่อง “หน้าตาเว็บไซต์” และ “ประสบการณ์ของผู้ใช้ โดยต้องเป็นคนที่มีลักษณะ ดังนี้
● ชอบออกแบบหน้าจอ หรือจัด layout ให้น่าใช้
● ใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ เช่น สี ปุ่ม ตัวอักษร และความสวยงาม
● สนุกกับการทำให้เว็บไซต์ responsive (รองรับมือถือ/แท็บเล็ต)
● รู้สึกมีความสุขเวลาได้เห็นผลงาน "ออกมาสวย และใช้งานได้จริง"
● สนใจ UX/UI Design และพฤติกรรมผู้ใช้
ทักษะที่ต้องใช้บ่อย :
● HTML / CSS / JavaScript
● React, Vue, หรือ Angular
● การออกแบบ UI, UX
2. สาย Back End Developer เหมาะกับคนที่ชอบ "วางระบบเบื้องหลัง" และ "จัดการข้อมูล" โดยต้องเป็นคนที่มีลักษณะ ดังนี้
● ชอบวางโครงสร้างระบบ คิดลอจิก และแก้ปัญหาเชิงเทคนิค
● สนุกกับการออกแบบฐานข้อมูล หรือทำให้ระบบทำงานเร็วขึ้น
● ไม่ซีเรียสกับเรื่องหน้าตาเว็บ แต่อยากให้ฟังก์ชันทำงานได้ดี
● ชอบการเขียน API และจัดการข้อมูลหลังบ้าน
● ชอบความปลอดภัยของระบบ และความแม่นยำ
ทักษะที่ต้องใช้บ่อย :
● Node.js, Python, PHP, Java
● MySQL, PostgreSQL, MongoDB
● REST API, GraphQL, Docker
3. สาย Full Stack Developer เหมาะกับคนที่ชอบทำความ “เข้าใจระบบทั้งหมด” และอยากทำงานได้รอบด้าน โดยต้องเป็นคนที่มีลักษณะ ดังนี้
● อยากทำทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน
● ชอบเรียนรู้หลายเรื่องพร้อม ๆ กัน
● ชอบควบคุมทั้งระบบตั้งแต่ต้นจนจบ
● ทำโปรเจกต์คนเดียวบ่อย ๆ หรืออยากเป็นเจ้าของโปรเจกต์
● วางแผน/สร้างระบบเองได้ทั้งการแสดงผลและประมวลผล
ทักษะที่ต้องใช้บ่อย :
● รวมทั้ง Front End + Back End
● เข้าใจการเชื่อมต่อ API
● พอมีความรู้ด้าน DevOps / การ Deploy ระบบ
ทางที่ดีคุณควรลองทุกสายเบื้องต้นก่อน แล้วสังเกตว่าทำอะไรแล้ว “ไหลลื่น” และ “สนุก” ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน แนะนำว่าลองทำ Front End ก่อน เพราะเห็นผลเร็วและทำให้มีแรงบันดาลใจต่อ แต่ถ้าชอบแก้ปัญหาทางตรรกะมากกว่าการออกแบบ ลองไปทาง Back End ดู สุดท้ายถ้าคุณทำได้หลายอย่างและชอบควบคุมโปรเจกต์เองทั้งหมด Full Stack คือคำตอบ!
สรุป
นักพัฒนาโปรแกรม เว็บไซต์ และแอปพลิเคชัน ที่มีความสามารถครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นส่วนของ Front End และ Back End คือผู้ที่จะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนให้ธุรกิจดำเนินงานได้อย่างราบรื่น สำหรับองค์กรที่ต้องการนักพัฒนาโปรแกรม เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และซอฟต์แวร์ เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจและองค์กรของคุณ Hocco เรามีทีมผู้เชี่ยวชาญที่มากประสบการณ์จากทุกธุรกิจ พร้อมคอยให้คำปรึกษา นำเสนอ IT Solutionที่เหมาะสมกับองค์กรของคุณ
นอกจากนี้เรายังมีบริการ รับทำเว็บไซต์ รับเขียนโปรแกรม และพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ สนใจติดต่อได้ที่ E-mail : hello@hocco.co หรือโทร. 064-6166426 , 084-7332417
0 Comment