×

START A PROJECT

We are here to build a high-quality extension for brands to serve your consumers.

    By HOCCO - 29 เมษายน 2025

    Generative AI คืออะไร ทำอะไรได้บ้าง แตกต่างจาก AI ทั่วไปยังไง ? 

    ในยุคที่ทุกบริษัทต่างนำเทคโนโลยี Generative AI เข้ามาประยุกต์ใช้ในการทำงาน รวมไปถึงการนำ Generative AI มาใช้ในชีวิตประจำวัน แน่นอนว่าหลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า Generative AI คืออะไร แต่น่าจะมีอีกหลายคนเช่นกันใช่ไหมครับ ที่ยังไม่ค่อยเก็ทว่า Generative AI คืออะไร บทความนี้ผมจะช่วยสรุปเนื้อหาสำคัญว่าจริง ๆ แล้ว Generative AI คืออะไร พร้อมทั้งบอกแนวทางการนำ Generative AI มาประยุกต์ใช้ในการทำงานและชีวิตประจำวัน ที่จะช่วยให้การทำงานและการใช้ชีวิตประวันของคุณสะดวก รวดเร็ว ง่ายขึ้นไปอีกขั้น ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลย!

    Generative AI คืออะไร

    Generative AI หรือในภาษาไทยเรียกว่า ปัญญาประดิษฐ์ คือ หนึ่งในแขนงของ AI ความพิเศษของ Generative AI คือ สามารถสร้างเนื้อหา รูปภาพ วิดีโอ หรือแม้แต่ โมเดล 3Dอัตโนมัติ และรวมไปถึงการพัฒนาเสียง พัฒนาโปรแกรม เขียนและแก้ไขโค้ด โดย Generative AI จะอาศัยเทคนิคการเรียนรู้จาก Machine Learning และ Neural Networks ทำให้ Generative AI สามารถเรียนรู้รูปแบบจาก Big Data ที่มีข้อมูลจำนวนมหาศาล และสร้างเนื้อหาที่มีความสมจริงและสอดคล้องกับข้อมูลที่มี

    จุดเริ่มต้นของ Generative AI เริ่มตั้งแต่ในช่วงปี 1950 ซึ่งถือว่าเป็นยุคแรกของ AI และ Machine Learning ต่อมาก็เป็นยุคของ Deep Learning และ Neural Networks ที่ AI สามารถวิเคราะห์และสร้างข้อมูลได้แม่นยำขึ้น และจึงมาเป็นยุคล่าสุด อย่าง Generative AI ที่สามารถสร้างเนื้อหา รูปภาพ วิดีโอ และโมเดล 3D ได้สวยงามและแม่นยำ

    ความแตกต่างของ Generative AI vs AI ทั่วไป

    AI ทั่วไป คือ ปัญญาประดิษฐ์ที่ใช้สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล การจำแนกประเภท และการคาดการณ์ เช่น ระบบแนะนำสินค้า การตรวจจับใบหน้า และการแปลภาษา โดยทำงานผ่านโมเดลทางสถิติและกฎที่กำหนดไว้ ซึ่งไม่ใช่การสร้างเนื้อหาใหม่ แต่จะใช้ข้อมูลที่มีอยู่เพื่อให้คำตอบหรือช่วยตัดสินใจ

    ในขณะที่ Generative AI คือ AI ที่สามารถสร้างเนื้อหาใหม่ เช่น ข้อความ รูปภาพ วิดีโอ เสียง และโค้ด โดยใช้โมเดล Deep Learning เช่น GPT หรือ GANs ตัวอย่างเช่น ChatGPT ที่สร้างบทสนทนาแบบสมจริง หรือ DALL·E ที่สร้างภาพจากคำอธิบายข้อความ ต่างจาก AI ทั่วไปที่เน้นการวิเคราะห์ Generative AI ช่วยให้เครื่องจักรมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นและถูกนำไปใช้ในงานศิลปะ การออกแบบ และการเขียนโปรแกรม

    ประโยชน์ของ Generative AI กับการทำงาน 

    หลังจากได้รู้ว่า Generative AI คืออะไร ประวัติความเป็นมา และแตกต่างจาก AI ทั่วไปแล้ว เรามาลองดูประโยชน์จาก Generative AI ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการทำงานได้ ไปพร้อมกันเลย

    1. ช่วยสร้างเนื้อหาอัตโนมัติ สร้างบทความ รายงาน อีเมล และสรุปข้อมูล ลดเวลาการทำงานด้านเอกสาร

    2. เพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบ สร้างภาพ วิดีโอ และเนื้อหาดิจิทัล ช่วยให้นักออกแบบมีไอเดียและทำงานได้เร็วขึ้น

    3. ช่วยเขียนและตรวจสอบโค้ด สนับสนุนนักพัฒนาซอฟต์แวร์ด้วยการเขียนโค้ดอัตโนมัติและตรวจจับ Error ต่างๆ

    4. วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์แนวโน้มทางธุรกิจและพฤติกรรมลูกค้า เพื่อการตัดสินใจที่แม่นยำขึ้น

    5. เพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสาร แปลภาษา ปรับแต่งข้อความ และสร้างคำตอบอัตโนมัติในแชทบอท

    6. ลดต้นทุนและเพิ่มความเร็วในการทำงาน ช่วยลดภาระงานซ้ำ ๆ ทำให้พนักงานสามารถโฟกัสกับงานที่มีมูลค่าสูงกว่า

    7. ช่วยสร้างไอเดียใหม่ ๆ สนับสนุนกระบวนการคิดสร้างสรรค์ในงานออกแบบ แผนการตลาด และโฆษณา

    8. พัฒนาและปรับแต่งเนื้อหาเฉพาะบุคคล (Personalization) สร้างโฆษณา คำแนะนำสินค้า และเนื้อหาที่เหมาะกับผู้ใช้แต่ละคน

    9. สร้างโมเดลจำลองและคาดการณ์แนวโน้ม ใช้ AI ในการจำลองสถานการณ์ทางธุรกิจ วิทยาศาสตร์ และการเงิน

    10. พัฒนาแชทบอทและผู้ช่วยเสมือน ปรับปรุงระบบตอบกลับอัตโนมัติให้โต้ตอบกับลูกค้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ

    การนำ Generative AI มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

    1. สร้างเพลย์ลิสต์เพลงอัตโนมัติ คุณสามารถใช้ AI แนะนำเพลงตามอารมณ์หรือกิจกรรมที่ทำอยู่

    2. แนะนำเมนูอาหารและสูตรทำอาหาร AI สามารถคิดเมนูจากวัตถุดิบที่มี และแนะนำสูตรทำอาหารใหม่ ๆ

    3. ช่วยวางแผนการเดินทาง AI สามารถช่วยแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว เส้นทาง และจัดตารางการเดินทางให้เหมาะสม

    4. สร้างเรื่องเล่าและนิทาน ใช้ AI แต่งนิทานก่อนนอนให้เด็ก ๆ หรือสร้างเรื่องสั้นอ่านเล่น

    5. ออกแบบการแต่งตัว ใช้ AI ช่วยเลือกเสื้อผ้าให้เข้ากับสไตล์และสภาพอากาศในแต่ละวัน

    6. พัฒนาทักษะด้านภาษา คุณสามารถใช้ AI ช่วยฝึกพูดและเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ ผ่านการสนทนา

    7. ช่วยแต่งคำอวยพรหรือข้อความพิเศษ ใช้ AI คิดคำอวยพรวันเกิด ข้อความซึ้ง ๆ หรือแม้แต่แต่งกลอน รวมไปถึงแต่ง Caption สำหรับลง Instagram

    ข้อเสียของ Generative AI

    1. ข้อมูลผิดพลาดและบิดเบือน บางครั้ง AI อาจสร้างข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือไม่มีแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ

    2. ปัญหาด้านลิขสิทธิ์ เนื้อหาที่ AI สร้างอาจละเมิดลิขสิทธิ์โดยไม่ได้ตั้งใจ

    3. ใช้ทรัพยากรสูง ระบบ AI ต้องใช้พลังประมวลผลและพลังงานจำนวนมาก ทำให้มีต้นทุนสูง

    4. กระทบต่ออาชีพบางประเภท อาจทำให้บางอาชีพ เช่น นักเขียน ศิลปิน หรือนักออกแบบ ถูกแทนที่บางส่วน

    5. ขาดความเข้าใจเชิงลึก AI สร้างคำตอบจากรูปแบบของข้อมูล แต่ไม่ได้ "เข้าใจ" ความหมายจริง ๆ

    6. ทำให้พึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไป อาจลดทักษะการคิดวิเคราะห์ของมนุษย์หากใช้งานโดยไม่ระมัดระวัง

    Generative AI ที่น่าจับตามองในปัจจุบันและในอนาคต

    Generative AI นับว่าเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่เติบโตอย่างรวดเร็วในปัจจุบันและจะมีบทบาทสำคัญในอนาคต ด้วยความสามารถในการสร้างเนื้อหาที่หลากหลาย ทั้งภาพ เสียง วิดีโอ ข้อความ หรือแม้กระทั่งโค้ดโปรแกรม ที่มีความซับซ้อนและสมจริงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลายบริษัทจึงกำลังพัฒนาและปรับปรุงโมเดล Generative AI ให้สามารถใช้งานในหลากหลายสาขา

    ในปัจจุบัน ChatGPT คือ Generative AI ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยสามารถช่วยในเรื่องการสร้างบทสนทนาและการเขียนเนื้อหาต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ DALL·E และ Midjourney เป็นเครื่องมือที่สามารถสร้างภาพจากคำอธิบายข้อความ ช่วยนักออกแบบหรือผู้ที่ต้องการภาพกราฟิกในเวลาอันรวดเร็ว

    ในอนาคตผมมองว่า Generative AI จะเข้ามามีบทบาทในหลายอุตสาหกรรมมากยิ่งขึ้น อย่าง Google Gemini ที่มีศักยภาพในการสร้างเนื้อหาและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างลึกซึ้ง หรือ MusicLM ที่จะช่วยสร้างเพลงตามคำอธิบายจากผู้ใช้ ส่งผลให้การสร้างเนื้อหาในด้านต่าง ๆ กลายเป็นเรื่องง่ายและเร็วขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ Claude จาก Anthropic ยังเน้นในด้านการสร้างเนื้อหาที่ปลอดภัยและมีจริยธรรม ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญในการใช้ Generative AI อย่างมีความรับผิดชอบในอนาคต

    MORE ARTICLES

    27.04.2025

    12.07.2023

    0 Comment