หลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยินคำว่า API กันมาบ้างแล้ว และการพัฒนา API ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันนั้น ก็คือ “Rest API” นั่นเอง โดย Rest API เป็นแอปพลิเคชันซอฟต์แวร์เฉพาะที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการสื่อสารเครือข่ายและการรับส่งข้อมูลข่าวสารบนอุปกรณ์ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ มือถือ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ดังนั้น การพัฒนาและจัดการ Rest API มักดำเนินการโดยใช้หลักการและแนวทางคล้ายกันกับโครงการซอฟต์แวร์อื่น ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อให้ทุกคนเข้าใจการทำงานของ Rest API มากขึ้น บทความนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกับ Rest API กันว่ามันคืออะไร มีหลักการทำงานอย่างไร และมีประโยชน์อะไรบ้าง ไปดูกันได้เลย
ทำความรู้จักกับ Rest API คือ
Rest API ย่อมาจาก “Representational State Transfer Application Programming Interface” คือ รูปแบบการเข้าถึงและจัดการข้อมูลระหว่าง Client และ Server หรือเป็นการสร้าง API ประเภท RESTful web services ซึ่งจัดเป็น Web Service โดยใช้ Hypertext Transfer Protocol (HTTP) เป็น Protocol ในการสื่อสาร และใช้ HTTP Method เพื่อกำหนดการกระทำที่จะเกิดขึ้นบนเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งสามารถส่งข้อมูลได้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น Text, XML, JSON หรือส่งมาเป็นหน้า HTML เลยก็ยังได้ แต่โดยส่วนใหญ่มักจะส่งข้อมูลในรูปแบบ JSON ซึ่งเป็นรูปแบบที่สามารถอ่านข้อมูลและเข้าใจได้ง่าย
โดยทั่วไปแล้วเทคโนโลยี Rest API ได้รับความนิยมมากกว่า API อื่นที่คล้ายคลึงกัน เนื่องจาก Rest ใช้แบนด์วิดท์น้อยกว่า ทำให้มีประสิทธิภาพในการใช้งานอินเทอร์เน็ตมากขึ้น นอกจากนี้ ยังสามารถสร้าง RESTful API ด้วยภาษาการเขียนโปรแกรมทั่วไป เช่น PHP, JavaScript และ Python ได้อีกด้วย
หลักการทำงาน Rest API
Rest API สื่อสารผ่านคำขอ HTTP โดยทำหน้าที่ต่อไปนี้ให้สมบูรณ์ คือ สร้าง รับ อัปเดต และลบข้อมูล โดย Rest API ยังเป็นที่รู้จักกันในนามการดำเนินการ Crud Rest ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับข้อมูลที่ร้องขอ และใช้ 4 วิธีต่อไปนี้ในการอธิบายว่าจะทำอย่างไรกับข้อมูล
1. การสร้างข้อมูล (POST)
ใช้สำหรับขอข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่อยู่บนเซิร์ฟเวอร์ เช่น การเรียกดูเพจเว็บหน้าแรก การขอข้อมูลรายการสินค้า เป็นต้น
2. รับข้อมูล (GET)
ใช้สำหรับส่งข้อมูลจาก Client ไปยังเซิร์ฟเวอร์เพื่อสร้างหรืออัปเดตข้อมูล โดยทั่วไปใช้สำหรับการสร้างข้อมูลใหม่ เช่น การสร้างบัญชีผู้ใช้ใหม่ เป็นต้น
3. อัปเดตข้อมูล (PUT)
ใช้สำหรับการอัปเดตข้อมูลที่มีอยู่บนเซิร์ฟเวอร์ เช่น การอัปเดตข้อมูลโปรไฟล์ผู้ใช้งาน การแก้ไขข้อมูลสินค้าในระบบ เป็นต้น
4. การลบข้อมูล (DELETE)
ใช้สำหรับลบข้อมูลที่มีอยู่บนเซิร์ฟเวอร์ เช่นการลบโพสต์จากบล็อก การลบสินค้าออกจากระบบ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีหลักการอื่น ๆ อีกเช่น HEAD, OPTIONS, PATCH, CONNECT, TRACE แต่ GET, POST, PUT และ DELETE เป็นหลักการที่ใช้งานอย่างแพร่หลายในการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันในปัจจุบัน
จุดเด่นของ Rest API
Rest API เป็นรูปแบบของ Web API ที่ได้รับความนิยมสูงสุด เพราะมีข้อดีหลายประการที่ช่วยให้การพัฒนาและใช้งาน API มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
1. ใช้งานง่าย และเข้าใจง่าย
Rest API ใช้ HTTP Method (GET, POST, PUT, DELETE) ที่คุ้นเคย มีโครงสร้าง URL อิงกับ Resource (/users, /products/1) ทำให้เข้าใจได้ง่าย และใช้ JSON หรือ XML เป็นรูปแบบข้อมูล ซึ่งอ่านง่ายและใช้งานได้สะดวก
2. เร็ว และมีประสิทธิภาพสูง
Rest API เป็น Lightweight ไม่มี Overhead เยอะเหมือน Soap API และใช้ Stateless Architecture ซึ่งช่วยให้เซิร์ฟเวอร์ไม่ต้องจำสถานะของลูกค้า ทำให้ทำงานเร็วขึ้น
3. รองรับหลายแพลตฟอร์ม (Cross-Platform Support)
สามารถใช้ได้กับ เว็บแอป, โมบายแอป (iOS/Android), IoT, Microservices, Cloud Computing แถมยังสามารถเชื่อมต่อได้จากทุกอุปกรณ์ที่รองรับ HTTP
4. รองรับการทำงานร่วมกับระบบอื่น (Interoperability)
โดยเชื่อมต่อกับ API อื่น ๆ ได้ง่าย เช่น OAuth, GraphQL, WebSocket และรองรับการใช้งานร่วมกับ Third-Party Services เช่น Payment Gateway, Social Media API เป็นต้น
5. รองรับการรักษาความปลอดภัย
Rest API ใช้ HTTPS (SSL/TLS) เพื่อเข้ารหัสข้อมูล ยังรองรับ Authentication & Authorization เช่น OAuth, JWT, API Key, Basic Auth และสามารถใช้ Rate Limiting และ Throttling เพื่อลดการโจมตี DDoS
ซึ่งหากคุณกำลังต้องการสร้าง API ให้กับธุรกิจของคุณ แต่ยังไม่ได้มีความรู้ในเรื่องการเขียนโปรแกรม Big Data และกำลังมองหาบริษัทซอฟต์แวร์เฮาส์เพื่อให้สร้าง API ให้อยู่ล่ะก็ Hocco ของเรา คือ บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์เฮาส์ที่ให้บริการในด้านซอฟต์แวร์ และดิจิทัลโซลูชั่นแบบครบวงจร พร้อมบริการดูแล และบำรุงรักษาระบบด้วยนักพัฒนาซอฟต์แวร์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจของคุณสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างสะดวกสบายในทุกขั้นตอน
คำถามที่พบบ่อย
1. Rest API ใช้ทำอะไร
Rest API ถูกใช้ในงานหลากหลายประเภทที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารระหว่างระบบผ่านอินเทอร์เน็ตหรือเครือข่ายภายใน โดยหลัก ๆ แล้ว Rest API ช่วยให้แอปพลิเคชันต่าง ๆ สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
● Rest API ใช้ทำงานระหว่าง Frontend และ Backend ของเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน
● ใช้ใน Mobile Apps, Web Apps, IoT, Cloud Computing, Microservices
● ใช้เชื่อมต่อกับ Third-Party APIs เช่น Facebook, Google, PayPal
● ใช้ใน Authentication, Data Analytics, Web Scraping
● เป็นมาตรฐานที่ ยืดหยุ่น, เร็ว, และรองรับหลายแพลตฟอร์ม
2. Rest กับ Soap ต่างกันอย่างไร
ความแตกต่างระหว่าง Rest และ Soap คือ Soap เป็น Protocol ในขณะที่ Rrst สามารถกำหนดให้เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมได้ อย่างไรก็ตาม Rest API สามารถใช้ Protocol ของ Soap ได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ HTTP ได้ด้วย ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว Protocol ทั้งสองจะถูกนำเสนอแตกต่างกัน มีฟังก์ชันที่แตกต่างกัน และถูกนำไปใช้ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน
การที่คุณเลือกกำหนดค่า API ของคุณเป็น RESTful API โดยใช้บริการ Rest หรือใช้คำขอและการส่งข้อความ Soap นั่นจะขึ้นอยู่กับแอปพลิเคชันที่คุณใช้งาน ภาษาโปรแกรมที่คุณเลือก รวมถึงความซับซ้อนของแอปพลิเคชันของคุณ (จำนวนจุดสิ้นสุด แบนด์วิดท์ ฯลฯ) ที่จะเป็นปัจจัยที่สำคัญ นั่นเอง
3. API กับ Web Service ต่างกัน
ความแตกต่างระหว่าง Web Service กับ API คือ Web Service ทั้งหมดจัดว่าเป็น API แต่ตัว API ทั้งหมดนั้นไม่ใช่ Web Service โดย Web Service จำกัดการทำงานอยู่ที่บน HTTP จะไม่สามารถทำงานได้ในระบบปฏิบัติการหรือสภาพแวดล้อมอื่น ๆ และรูปแบบการสื่อสารของ Web Service จะมีเพียงไม่กี่รูปแบบ เช่น Soap, Rest และ XML-RPC แต่ API สามารถทำงานได้ในทุกระบบปฏิบัติการและทุกสภาพแวดล้อม และยังสามารถใช้รูปแบบการสื่อสารได้หลากหลายมากกว่า จึงทำให้ API สามารถทำงานได้ทั้งแบบผ่านเครือข่ายและไม่ผ่านเครือข่าย
และความแตกต่างสุดท้าย API สามารถสื่อสารกับส่วนต่างๆ ได้โดยตรงอย่างรวดเร็ว ส่วน Web Service การสื่อสารจะต้องผ่านหลายขั้นตอน รวมถึงต้องมีการแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบ XML หรือ JSON ก่อนส่งข้อมูล และต้องแปลงข้อมูลกลับเมื่อจะนำไปใช้งานต่อในระบบ
4. API คืออะไร ใช้ทำอะไร
API (Application Programming Interface) คือ ตัวกลางที่เชื่อมต่อระหว่าง “ผู้ใช้บริการ” กับ “ผู้ให้บริการ” โดยทั้งสองต่างเป็นโปรแกรมด้วยกันทั้งคู่ เมื่อผู้ใช้บริการต้องการข้อมูลบางอย่าง API จะทำหน้าที่ส่งต่อคำขอไปยังผู้ให้บริการและส่งข้อมูลกลับมาที่ผู้ใช้บริการโดยอัตโนมัติ แต่มีข้อแม้ว่าผู้ให้บริการจะต้องยินยอมเปิดข้อมูลนั้นเพื่อให้นำไปใช้ได้
ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่าย ๆ เช่น
แอปพลิเคชันสั่งอาหารเดลิเวอรี = ผู้ใช้บริการ
Google Map = ผู้ให้บริการนั่นเอง
สรุป
Rest API เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมที่นักพัฒนาใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เพราะเรียบง่าย ยืดหยุ่น และทำงานได้เร็ว ซึ่งเหมาะกับ เว็บแอป, โมบายแอป, IoT, Microservices และระบบ Cloud โดยใช้หลักการ HTTP Methods ด้วยแนวทางง่าย ๆ ที่อนุญาตให้นักพัฒนาใช้ข้อกำหนดเหล่านั้นในรูปแบบของพวกเขา จึงได้สถาปัตยกรรมที่ให้ประสิทธิภาพที่สูง จึงเป็นที่ต้องการของอุปกรณ์มือถือโดยเฉพาะ เพราะมักเน้นเรื่องความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูล ดังนั้น หากคุณต้องการพัฒนา API ในปัจจุบัน Rest API จึงเป็นตัวเลือกที่ดี
0 Comment